Categories
บทความ

โรคอหิวาตกโรค

โรคอหิวาตกโรค

ลักษณะโรค

เป็นโรคติดเชื้อระบบทางเดินอาหารจากแบคทีเรียชนิดเฉียบพลัน เริ่มด้วยอาการถ่ายอุจจาระเป็นน้ำอย่างมากโดยไม่มีอาการปวดท้อง บางรายอุจจาระขาวขุ่นเหมือนน้ำซาวข้าว บางครั้งมีคลื่นไส้ อาเจียน สูญเสียน้ำอย่างรวดเร็วจนเกิดภาวะเป็นกรดในเลือด และการไหลเวียนโลหิตล้มเหลว สำหรับเชื้อโรคอุจจาระร่วงอย่างแรง(อหิวาตกโรค) ชนิด El Tor biotype ผู้ป่วยอาจไม่มีอาการเลยก็ได้ ในรายรุนแรงน้อยอาจพบแต่อาการถ่ายเป็นน้ำ พบได้บ่อยในเด็ก ในรายที่มีอาการรุนแรงและไม่ได้รับการรักษาผู้ป่วยอาจตายในเวลา 2-3 ชั่วโมง และอัตราป่วยตายสูงมากกว่าร้อยละ 50 แต่ถ้าได้รับการรักษาถูกต้องและทันท่วงที อัตราป่วยตายจะลดลงเหลือต่ำกว่าร้อยละ 1

การวินิจฉัยโรค

ใช้วิธีการเพาะเชื้อจากอุจจาระหรือดูด้วยกล้องจุลทรรศน์ชนิด darkfield หรือ phase contrast จะเห็นลักษณะการเคลื่อนที่แบบเฉพาะของเชื้อ Vibrio ซึ่งจะถูกยับยั้งด้วย antiserum จำเพาะ ในพื้นที่ที่เกิดการติดเชื้อใหม่ๆ การแยกเชื้อต้องยืนยันด้วยการทดสอบทางชีวเคมีเบื้องต้น ถ้าเป็นไปได้ควรทดสอบดูด้วยว่าเชื้อโรคผลิตสารพิษด้วยหรือไม่ ในพื้นที่ที่ไม่ใช่เขตโรคประจำถิ่น เชื้อที่แยกได้จากผู้ป่วยที่ต้องสงสัยรายแรกๆ ต้องยืนยันโดยการทดสอบทางชีวเคมีและซีโรโลยี่ที่เหมาะสมและสารพิษที่เชื้อสร้างขึ้นด้วย

สาเหตุ

เกิดจากการติดเชื้อ Vibrio cholerae serogroup O(โอ)1 ซึ่งมี 2 biotypes คือ classical และ El Tor แต่ละ biotype แบ่งออกได้เป็น 3 serotypes คือ Inaba, Ogawa และ Hikojima เชื้อเหล่านี้จะสร้างสารพิษเรียกว่า Cholera toxin ทำให้เกิดอาการป่วยคล้ายกัน ปัจจุบันพบว่าการระบาดส่วนใหญ่เกิดจากเชื้อ biotype El Tor เป็นหลักแทบไม่พบ biotype classical เลย ในปี พ.ศ. 2535-2536 เกิดการระบาดครั้งใหญ่ในอินเดียและบังคลาเทศสาเหตุเกิดจากเชื้อสายพันธุ์ใหม่คือ Vibrio cholerae O139 โดยที่ครั้งแรกตรวจพบสาเหตุการระบาดจากเชื้อ V. cholerae non O1 ที่ไม่ทำปฏิกิริยากับ V. cholerae antiserun O2-O138 ซึ่งปรกติกลไกก่อโรคจากเชื้อกลุ่มนี้มิได้เกิดจาก Cholera toxin สายพันธุ์ใหม่ที่พบสามารถสร้าง Cholera toxin ได้เหมือน Vibrio cholerae O1 ต่างกันที่โครงสร้าง Lipopolysaccharides (LPS) ที่เป็นส่วนประกอบของผนังเซลล์ของเชื้อ อาการทางคลินิกและลักษณะทางระบาดวิทยาเหมือนกับโรคอุจจาระร่วงอย่างแรงทุกประการ ดังนั้นองค์การอนามัยโลกแนะนำให้รายงานว่าเป็นโรคอุจจาระร่วงอย่างแรงด้วย สำหรับเชื้อ V. cholerae ในปัจจุบันมีถึง 194 serogroups การรายงานเชื้อที่ไม่ใช่ทั้ง O1 และ O139 ให้เรียกว่าเป็น V. cholerae non O1/non O139 ซึ่งเป็นกลุ่มที่ก่อให้เกิดอาการกระเพาะและลำไส้อักเสบ เชื้อ V. cholerae non O1/non O139 บาง serotypes อาจผลิต cholera toxin ก่อให้เกิดอาการคล้ายโรคอุจจาระร่วงอย่างแรงได้ จึงจำเป็นต้องตรวจการสร้างสารพิษชนิดนี้ด้วยเพื่อป้องกันการระบาดใหญ่

วิธีติดต่อ

ติดต่อโดยการกินอาหารหรือน้ำที่มีเชื้อที่มีชีวิตปนอยู่ เชื้อ El Tor สามารถมีชีวิตอยู่ในน้ำได้เป็นเวลานาน การรับประทานอาหารทะเลดิบ หรืออาหารดิบๆสุกๆ เป็นสาเหตุของการระบาดทั่วไป การติดต่อระหว่างบุคคลสู่บุคคลโดยตรง พบได้น้อยมาก

ระยะฟักตัว

ตั้งแต่ 2-3 ชั่วโมง ไปจนถึง 5 วัน เฉลี่ยประมาณ 2-3 วัน

ระยะติดต่อ

ตลอดระยะเวลาที่ตรวจพบเชื้อในอุจจาระ ซึ่งปกติจะพบเชื้อได้อีก 2-3 วัน หลังจากผู้ป่วยอาการดีขึ้นแล้ว แต่บางรายอาจกลายเป็นพาหะต่อไปได้อีกหลายเดือน การให้ยาปฏิชีวนะ เช่น tetracycline จะช่วยลดระยะเวลาการแพร่เชื้อ ในผู้ใหญ่พบว่าการติดเชื้อเรื้อรังที่ทางเดินน้ำดี อาจเป็นได้นานเป็นปี และร่วมกับมีการปล่อยเชื้อ Vibrio ออกมากับอุจจาระเป็น ระยะได้

Cr. https://ddc.moph.go.th/disease_detail.php?d=74

Categories
บทความ

ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับโรคบิด พร้อมสาเหตุและวิธีการป้องกัน

ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับโรคบิด พร้อมสาเหตุและวิธีการป้องกัน

มาเรียนรู้สาเหตุของโรคบิด อาการเบื้องต้น และวิธีการป้องกันโรคบิดทั้งขณะพำนักในที่พักอาศัยหรือขณะเดินทางไปต่างประเทศ เพื่อหลีกเลี่ยงการท้องเสียชนิดรุนแรง อันดับแรกมาทำความรู้จักกันก่อนเลยว่าโรคบิดคืออะไร บทความนี้จะช่วยคลายข้อสงสัยสำหรับคนที่กังวลว่าอาการที่เป็นอยู่นั้นใช่อาการของโรคบิดหรือไม่และเหมาะสำหรับคนที่อยากดูแลสุขภาพของตัวเองให้ห่างไกลจากโรคภัยไข้เจ็บ

โรคบิดคือโรคอะไร

โรคบิดคือโรคที่เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียหรือการติดเชื้ออะมีบาในลำไส้ซึ่งก่อให้เกิดอาการท้องเสียชนิดมีเลือดหรือมูกปน การแพร่กระจายของโรคบิดมักเกิดจากสุขอนามัยที่ไม่ดีโดยผู้ป่วยมักได้รับเชื้อ จากการรับประทานอาหารที่มีการปนเปื้อน โรคบิดมีอาการที่พบทั่วไป คือ : 

  • ท้องเสียโดยมีเลือดหรือมูกร่วมด้วย
  • ช่องท้องบีบเกร็ง จนทนไม่ได้
  • รู้สึกคลื่นไส้
  • อาเจียน
  • ปวดท้องบิด
  • มีไข้สูง

โรคบิดเกิดจากอะไร

โรคบิดเกิดจากการมีสุขอนามัยที่ไม่ดีและรับประทานอาหารปนเปื้อน โดยทางการแพทย์ได้จำแนกโรคบิดไว้ 2 ชนิดคือ

1.โรคบิดชนิดไม่มีตัว (shigellosis) เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย shigella ในอุจจาระซี่งมักพบในประเทศที่มีสุขอนามัยไม่ดี

2.โรคบิดที่เกิดจากอะมีบา (amoebiasis) เกิดจากปรสิตเซลล์เดียวที่มีชื่อว่า Entamoeba histolytica 

ที่มักพบในเขตร้อน ส่วนใหญ่ผู้ป่วยที่เผชิญกับโรคบิดที่เกิดจากอะมีบามักมีอาการรุนแรงมากกว่าผู้ป่วยโรคบิดชนิดไม่มีตัว

วิธีรักษาโรคบิด

วิธีการรักษาโรคบิด มีดังนี้ 

วิธีรักษาโรคบิดชนิดไม่มีตัว (shigellosis) 

ถ้าหากผู้ป่วยไม่ได้มีอาการุนแรงและพื้นฐานเป็นคนที่มีสุขภาพดี ไม่ได้มีโรคร้ายแรงหรือเป็นผู้สูงอายุ ส่วนใหญ่การรักษาโรคบิดเบื้องต้นจะรักษาภาวะการสูญเสียน้ำและเกลือแร่ในร่างกายที่มาจากการท้องเสีย และพยายามหลีกเลี่ยงการใช้ยารักษาท้องเสีย หรือสามารถปรึกษาแพทย์หรือเภสัชร่วมด้วย และถ้าหากมีอาหารปวดท้องบิดเกร็ง เป็นพัก ๆ มีวิธีแก้ด้วยการนอนพัก ถ้าหากนอนพักแล้วยังไม่หาย สามารถเข้าไปพบแพทย์เพื่อทำการปรึกษาได้ทันที 

โรคบิดที่เกิดจากอะมีบา (amoebiasis)

สำหรับกรณีโรคบิดที่เกิดจากอะมีบาหรือโรคบิดชนิดมีตัว แพทย์จะเน้นไปที่เน้นที่การใช้ยาเป็นหลักเพื่อรักษาเชื้อแบคทีเรีย และสำหรับอาการอื่น ๆ ที่เกิดขึ้นร่วม แพทย์จะทำการรักษาตามอาการ จนกว่าอาการของผู้ป่วยโรคบิดชนิดมีตัวจะดีขึ้น ไม่สามารถให้คำตอบได้ว่าโรคบิดกี่วันหาย ขึ้นอยู่กับอาการของแต่ละบุคคล

ปัจจัยเสี่ยงที่ส่งผลให้เกิดโรคบิด 

ปัจจัยเสี่ยงในการติดเชื้อแบคทีเรียที่ส่งผลหรือได้รับเชื้ออะมีบาดำเนินเข้าสู่ร่างกาย มักเกิดขึ้นกับกลุ่มคนที่มีลักษณะดังนี้

  • ผู้ที่เดินทางหรืออาศัยอยู่ในพื้นที่ที่มีสุขอนามัยไม่ดี เช่น พื้นที่ห่างไกลน้ำสะอาด
  • ผู้ที่อพยพมาจากพื้นที่ที่มีสุขอนามัยที่ไม่ดี
  • ผู้ที่มีเพศสัมพันธ์ทางทวารหนัก เนื่องจากทวารหนักเป็นแหล่งรวมเชื้อโรค
  • ผู้ที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ที่มีการจัดการสุขอนามัยไม่ดี เช่น ชุมชนแออัดหรือเรือนจำ
  • ผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับระบบภูมิคุ้มกัน
  • ผู้ที่มีปัญหาสุขภาพอื่น ๆ ที่ส่งผลให้ร่างกายอ่อนแอ
  • ผู้ที่มีโรคประจำตัวหรืออายุมาก

วิธีป้องกันให้ห่างไกลจากโรคบิด

มาดูวิธีการป้องกันโรคบิดง่าย ๆ ด้วยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในชีวิตประจำวัน โดยสิ่งที่สำคัญมากที่สุดเป็นอันดับต้น ๆ คือการเลือกรับประทานอาหาร หรือถ้าหากใครมีอาการปวดท้องบิดเกร็ง เป็นพัก ๆ มีวิธีแก้ดังนี้ 

  • ล้างมือเป็นประจำด้วยสบู่และน้ำสะอาดก่อนการประกอบหรือรับประทานอาหารและหลังจากเข้าห้องน้ำ เพราะเชื้อโรคอาศัยอยู่ในห้องน้ำเป็นจำนวนมาก
  • หลีกเลี่ยงการสัมผัสกับผู้ติดเชื้อ ห้ามใช้ผ้าขนหนู เครื่องนอน จานชามช้อนส้อมร่วมกับผู้ป่วยจนกว่าผู้ป่วยจะหายเป็นปกติ
  • หลีกเลี่ยงการดื่มน้ำจากก๊อกน้ำในพื้นที่ที่มีความเสี่ยงสูง ควรต้มน้ำหรือฆ่าเชื้อก่อนดื่มน้ำทุกครั้งหรืออาจเลือกดื่มน้ำบรรจุขวดเพื่อความปลอดภัย
  • ระมัดระวังอาหารที่รับประทานหากอยู่ในพื้นที่ที่มีความเสี่ยงสูง เพราะไม่สามารถมั่นใจได้ว่าอาหารที่ถูกปรุงนั้นสะอาดหรือไม่ นอกจากนี้ร่างกายอาจจะยังไม่สามารถปรับตัวได้ทันทีเมื่อรับประทานอาหารต่างถิ่น
  • หลีกเลี่ยงการรับประทานผลไม้หรือผักดิบ เว้นแต่เป็นผลไม้ที่ต้องปอกก่อนการรับประทาน เช่น กล้วย 
  • หลีกเลี่ยงการดื่มนมหรือรับประทานอาหารที่ผลิตจากนม เว้นแต่จะเป็นนมที่ผลิตโดยกรรมวิธีที่สะอาดผ่านการฆ่าเชื้อโรคแล้ว
  • หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารข้างถนนเนื่องจากเป็นเรื่องยากที่จะมั่นใจได้ถึงความสะอาดในการเตรียมและประกอบอาหาร
  • หลีกเลี่ยงพฤติกรรมการเติมน้ำแข็งในเครื่องดื่มเพราะน้ำแข็งอาจผลิตจากน้ำก๊อก ทั้งนี้เว้นแต่คุณจะทราบที่มาของน้ำที่ใช้ผลิตน้ำแข็ง

โรคบิดเป็นอีกหนึ่งโรคที่ไม่มีใครอยากเผชิญกับความเจ็บปวดและความทรมาน ดังนั้นถ้าไม่อยากเผชิญกับอาการต่าง ๆ ของโรคบิด ควรให้ความสำคัญในประโยชน์ของการล้างมือ หลีกเลี่ยงการสัมผัสผู้ติดเชื้อ การเลือกรับประทานอาหารให้ดี โดยเฉพาะอาหารข้างถนนหรืออาหารปรุงดิบและกึ่งดิบ หมั่นดูแลสุขอนามัยโดยรวมอย่างสม่ำเสมอ และรีบพบแพทย์ทันทีหากมีอาการรุนแรงมากขึ้น 

Cr. https://www.dettolthailand.com/common-infections/germs-bacteria-viruses/dysyntery/

Categories
บทความ

ไวรัสตับอักเสบเอและบี ป้องกันได้ด้วยวัคซีน

โรคฮีทสโตรก…อันตรายถึงชีวิต

  • การติดเชื้อไวรัสตับอักเสบนอกจากจะส่งผลให้ตับไม่สามารถทำหน้าที่ได้ตามปกติแล้ว หากปล่อยไว้จนตับอักเสบเรื้อรัง อาจทำให้เกิดโรคตับแข็ง และเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งตับได้
  • ไวรัสตับอักเสบชนิดเอ สามารถติดต่อได้ผ่านการรับประทานอาหาร น้ำดื่ม หรือสัมผัสสิ่งปนเปื้อนเชื้อไวรัสหากไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกวิธี อาจส่งผลให้ตับวาย
  • การฉีดวัคซีนไวรัสตับอักเสบเอเป็นการป้องกันโรคที่ได้ผลเกือบ 100% และสามารถป้องกันการติดเชื้อได้นานตลอดชีวิต

โรคไวรัสตับอักเสบ คืออะไร

โรคไวรัสตับอักเสบ (Hepatitis) เป็นภาวะที่เกิดการอักเสบของตับ  จากการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบซึ่งมีหลายสายพันธุ์ ได้แก่ ไวรัสตับอักเสบเอ บี ซี ดี และอี  โดยไวรัสทั้งหมดมีการติดต่อแตกต่างกันไปตามชนิดและลักษณะเฉพาะ  การติดเชื้อไวรัสตับอักเสบนอกจากจะส่งผลให้ตับเสียหาย ไม่สามารถทำหน้าที่ได้ตามปกติแล้ว  หากปล่อยไว้จนตับอักเสบเรื้อรัง อาจทำให้เกิดโรคตับแข็ง และเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งตับได้

ไวรัสตับอักเสบเอ

ไวรัสตับอักเสบเอ (Hepatitis A)  เกิดจากการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบชนิดเอ (Hepatitis A virus; HAV) สามารถติดต่อได้จากการรับประทานอาหาร น้ำดื่ม หรือสัมผัสสิ่งปนเปื้อนเชื้อไวรัส  โดยเชื้อจะเข้าฝังตัวในลำไส้ แล้วค่อยๆ กระจายไปสู่ตับ จนเกิดการอักเสบของตับหลังจากได้รับเชื้อราว 1-2 สัปดาห์ ส่งผลให้เกิดภาวะอ่อนเพลีย เบื่ออาหาร และดีซ่าน ซึ่งหากไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกวิธี อาจส่งผลให้ตับวาย และเสียชีวิตได้

สำหรับผู้ที่เคยติดเชื้อไวรัสตับอักเสบเอแล้วจะไม่เป็นซ้ำอีก รวมถึงผู้ที่มีภูมิคุ้มกันหรือฉีดวัคซีนป้องกันก็จะสามารถป้องกันการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบเอได้เช่นกัน

วัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบเอ

การฉีดวัคซีนไวรัสตับอักเสบเอเป็นการป้องกันโรค ที่ได้ผลเกือบ 100%  และภูมิคุ้มกันที่ได้จากวัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบเอจะอยู่ติดตัวไปได้ตลอด  สามารถฉีดได้ตั้งแต่อายุ 1 ปีขึ้นไป ซึ่งเป็นช่วงที่คุณพ่อคุณแม่เริ่มพาลูกๆ ออกไปมีกิจกรรมนอกบ้าน หรือเริ่มเข้าโรงเรียน   อาจได้รับเชื้อจากการรับประทานอาหาร ดื่มน้ำ หรือสัมผัสกับเชื้อได้ง่าย โดยฉีดวัคซีน 2 ครั้ง ห่างกัน 6 เดือน  สำหรับผู้ใหญ่ที่ไม่มีภูมิคุ้มกันโรคไวรัสตับอักเสบเอ สามารถรับการฉีดวัคซีน 2 ครั้ง ห่างกัน 6-12 เดือน โดยสามารถขอคำแนะนำหรือปรึกษาแพทย์

ผู้ที่ควรฉีดวัคซีนไวรัสตับอักเสบเอ

 
ผู้ที่จะเดินทางไปยังสถานที่ ที่มีการระบาดของเชื้อไวรัสตับอักเสบเอ ซึ่งควรได้รับการฉีดวัคซีนก่อนเดินทางประมาณ 1 เดือน
  • ผู้ที่ใกล้ชิดกับผู้ป่วยไวรัสตับอักเสบเอ
  • ผู้ที่ทำงานเกี่ยวข้องและมีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบเอ ทั้งจากคน สัตว์และสิ่งแวดล้อม เช่น ผู้ดูแลผู้ป่วย หรือผู้ที่ทำงานในบ่อบำบัดน้ำเสีย
  • ผู้ชายที่มีเพศสัมพันธ์กับเพศเดียวกัน
  • ผู้ที่ใช้ยาเสพติดทุกประเภท
  • ผู้ป่วยโรคตับอักเสบเรื้อรัง
  • บุคลากรที่ทำงานในโรงพยาบาลหรือห้องปฏิบัติการ
  • พ่อครัว แม่ครัวที่ต้องปรุงอาหารเป็นประจำ

ไวรัสตับอักเสบบี

ไวรัสตับอักเสบบี (Hepatitis B)  มีสาเหตุจากการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ บี (Hepatitis B virus; HBV)  ซึ่งเป็นเชื้อไวรัสที่อันตรายอย่างยิ่ง  หากได้รับเชื้อแล้วไม่ได้รับรักษา อาจนำไปสู่การอักเสบเรื้อรัง  ตับวาย ตับแข็ง และมะเร็งตับ โดยสามารถติดต่อผ่านทางการคลอด การสัมผัสเลือดหรือแผลเปิดของผู้ติดเชื้อ การมีเพศสัมพันธ์กับผู้ติดเชื้อ และการใช้อุปกรณ์ที่แหลมคมหรือของใช้ส่วนตัวร่วมกัน เช่น  เข็มฉีดยา มีดโกนหนวด หรือแปรงสีฟัน

วัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบบี

อาจเรียกได้ว่าเป็นวัคซีนป้องกันมะเร็งชนิดแรก เนื่องจากสามารถช่วยป้องกันมะเร็งตับ อันเกิดต่อเนื่องจากภาวะไวรัสตับอักเสบบี ซึ่งเป็นสาเหตุของมะเร็งตับถึง 80%  และเป็นสาเหตุการเสียชีวิตเป็นอันดับสองของโรคมะเร็งทั้งหมด

วัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบบี  ประกอบด้วยโปรตีนจากผิวของไวรัส (HBsAg)  ซึ่งไม่ทำให้เกิดการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบี แต่จะไปกระตุ้นให้เกิดภูมิต้านทานขึ้นในร่างกาย  สามารถฉีดป้องกันได้ตั้งแต่ทารกแรกเกิด โดยฉีดเหมือนกับผู้ใหญ่ ทั้งหมด 3 เข็ม  หลังจากฉีดเข็มแรกแล้ว 1 เดือนจึงฉีดเข็มที่ 2 และฉีดเข็มที่ 3  หลังจากฉีดเข็มที่ 2 แล้ว 5 เดือน 

เมื่อฉีดวัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบบี  ครบ 3 เข็ม ส่วนใหญ่พบว่าร่างกายสร้างภูมิคุมกันได้มากถึง  97%  และสามารถป้องกันการติดเชื้อได้นานตลอดชีวิต  อย่างไรก็ตาม หลังจากได้รับวัคซีนครบ 3 เข็ม ประมาณ 1-2 เดือน  ควรเข้ารับการตรวจเลือดเพื่อยืนยันว่ามีภูมิคุ้มกันไวรัสตับอักเสบบี หากยังไม่มีภูมิต้านทาน  ควรฉีดวัคซีนเพิ่มตามคำแนะนำของแพทย์

ผู้ที่ควรฉีดวัคซีนไวรัสตับอักเสบบี

  • ทารกแรกเกิด เด็ก และวัยรุ่นที่ไม่ได้รับวัคซีนเมื่อแรกเกิด
  • ผู้ที่อยู่ใกล้ชิดกับผู้ป่วยไวรัสตับอักเสบบี บุคลากรทางการแพทย์ และผู้ที่ทำงานในสถานพยาบาล
  • ผู้ป่วยโรคตับเรื้อรัง
  • ผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังที่ได้รับการฟอกไต
  • ผู้ป่วยที่ได้รับเลือดบ่อยๆ
  • ผู้ที่ใช้ยาเสพติดชนิดฉีดเข้าเส้น
  • ผู้ที่ต้องเดินทางไปยังพื้นที่ที่มีการระบาดของโรค
  • ผู้ที่เสี่ยงต่อโรคเนื่องจากปัจจัยเสี่ยงทางพฤติกรรมทางเพศ เช่น รักร่วมเพศ มีคู่นอนหลายคน

เนื่องจากไวรัสตับอักเสบแต่ละชนิดเกิดจากเชื้อไวรัสแตกต่างกัน   การฉีดวัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบแต่ละสายพันธุ์จะสามารถป้องกันเฉพาะไวรัสสายพันธุ์ที่ฉีดเท่านั้น ดังนั้นหากจำเป็นต้องฉีดวัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบชนิดใดควรเจาะจงชนิดของวัคซีนให้ถูกต้อง ซึ่งปัจจุบันมีวัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบเอ และวัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบบีรวมในเข็มเดียวกัน โดยสามารถสอบถามรายละเอียดจากแพทย์หรือโรงพยาบาลที่ต้องการเข้ารับการฉีดวัคซีน

Cr. https://www.samitivejhospitals.com/th/article/detail/ไวรัสตับอักเสบเอและบี

Categories
บทความ

โรคฮีทสโตรก…อันตรายถึงชีวิต !

โรคฮีทสโตรก…อันตรายถึงชีวิต

มาทำความรู้จักกับโรคลมแดดหรือโรคลมแดด หรือที่เรารู้จักกันในชื่อฮีทสโตรก (Heat Stroke) เป็นภาวะฉุกเฉินที่เกิดจากร่างกายมีความร้อนสูงเกินไป มักเป็นผลมาจากการสัมผัสหรือออกแรงทางกายภาพเป็นเวลานานในอุณหภูมิสูง ฮีตสโตรกสามารถเกิดขึ้นได้หากอุณหภูมิของร่างกายสูงถึง 40 ‘C (104’ F) หรือสูงกว่า ซึ่งถือได้ว่าเป็นอาการป่วยจากความร้อนที่ร้ายแรงที่สุด อาการนี้มักเกิดในช่วงที่อากาศร้อนหรืออากาศชื้น

ฮีตสโตรกจำเป็นต้องได้รับการรักษาอย่างเร่งด่วน หากปล่อยไว้โดยไม่รักษาจะสามารถทำลายอวัยวะต่างๆ ได้ทันที รวมถึงสมอง หัวใจ ไต และกล้ามเนื้อ หากได้รับการรักษาล่าช้า ความเสียหายจะรุนแรงขึ้น เพิ่มความเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนร้ายแรง ทุพพลภาพในระยะยาว หรืออาจถึงแก่ชีวิตได้

สาเหตุของอาการฮีทสโตรก

ฮีทสโตรกแบ่งตามสาเหตุได้เป็น 2 ประเภทหลักๆ

โรคลมแดดที่ไม่ได้เกิดจากการใช้กำลังกายหนัก (classical heatstroke or non-exertional heatstroke: NEHS) 

การอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ร้อนทำให้อุณหภูมิร่างกายสูงขึ้น โรคลมแดดแบบคลาสสิกหรือแบบไม่ต้องออกแรงมักเกิดขึ้นหลังจากสัมผัสกับสภาพอากาศที่ร้อนและชื้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเป็นเวลานาน

ฮีทสโตรกจากภายนอก

โรคลมแดดที่เกิดจากการออกแรงนั้นเกิดจากกิจกรรมที่ต้องใช้กำลังมากหรือการออกกำลังกายอย่างหนักในสภาพอากาศร้อน ส่งผลให้อุณหภูมิแกนกลางของร่างกายเพิ่มขึ้น

แม้ว่าใครก็ตามที่ออกกำลังกายหรือทำงานในสภาพอากาศร้อนสามารถเป็นโรคลมแดดได้ แต่ก็มีแนวโน้มที่จะพัฒนาได้หากคน ๆ หนึ่งไม่คุ้นเคยกับอากาศร้อน นอกจากนี้ โรคลมแดดยังเกิดขึ้นได้จากการสวมเสื้อผ้าที่หนาเกินไปซึ่งป้องกันเหงื่อไม่ให้ระเหยได้ง่าย และการดื่มแอลกอฮอล์ซึ่งส่งผลต่อการควบคุมอุณหภูมิ รวมถึงภาวะขาดน้ำจากการดื่มน้ำไม่เพียงพอเพื่อเติมของเหลวที่สูญเสียไปจากการขับเหงื่อ

ปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดฮีทสโตรกหรือโรคลมแดด

  • อายุ ในเด็กหรือผู้สูงอายุความสามารถในการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิร่างกายจะลดลง นอกจากนี้ ทั้งสองกลุ่มอายุมักจะมีปัญหาในการคงความชุ่มชื้น
  • โรคประจำตัวบางอย่าง: โรคเรื้อรังบางอย่าง เช่น โรคหัวใจและโรคปอด ตลอดจนโรคอ้วนและการไม่ออกกำลังกายอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นลมแดด
  • ยาบางชนิด ส่งผลต่อความสามารถของร่างกายในการรักษาความชุ่มชื้นและตอบสนองต่อความร้อนอย่างเหมาะสม ยาเหล่านี้รวมถึงยาขยายหลอดเลือด  ยาขับปัสสาวะ และยาทางจิตเวช เช่น ยาต้านอาการซึมเศร้า ยารักษาโรคจิต และยากระตุ้นจิต สารกระตุ้นที่ผิดกฎหมาย เช่น แอมเฟตามีนและโคเคนยังทำให้ผู้คนเสี่ยงต่อโรคลมแดดอีกด้วย
  • การสัมผัสกับสภาพอากาศที่ร้อนจัดอย่าง
  • อุณหภูมิที่สูงขึ้นอย่างกะทันหัน ผู้คนจะเป็นโรคลมแดดได้ง่ายขึ้นหากพวกเขาสัมผัสกับอุณหภูมิที่เพิ่มขึ้นอย่างกะทันหัน เช่น ในช่วงต้นฤดูร้อน คลื่นความร้อน หรือเมื่อพวกเขาเดินทางไปยังที่ที่มีอากาศร้อนจัด อันเนื่องมาจากโรคลมแดด

สัญญาณและอาการฮีทสโตรก

  • อุณหภูมิร่างกายหลัก 40 ‘C หรือสูงกว่า
  • สภาวะทางจิตหรือพฤติกรรมเปลี่ยนแปลง เช่น สับสน กระสับกระส่าย หงุดหงิด เพ้อ ชัก และโคม่า
  • หายใจเร็วและหัวใจเต้นเร็ว
  • ปวดศีรษะ
  • คลื่นไส้อาเจียน
  • ผิวหนังแดงร้อนและแห้ง อย่างไรก็ตาม ในอาการฮีทสโตรกที่เกิดจากการออกกำลังกายอย่างหนัก ผิวหนังอาจรู้สึกชื้นเล็กน้อย

การวินิจฉัยฮีทสโตรก

ในการวินิจฉัยฮีทสโตรกจำเป็นต้องได้รับประวัติทางการแพทย์ที่เกี่ยวข้องกับการสัมผัสความร้อนรวมถึงปัจจัยเสี่ยงที่กระตุ้นให้เกิดฮีทสโตรก นอกจากการตรวจร่างกายและการวัดอุณหภูมิร่างกายแล้ว การตรวจทางห้องปฏิบัติการและการใช้รังสีวินิจฉัยอาจใช้เพื่อช่วยยืนยันการวินิจฉัย แยกแยะสาเหตุที่เป็นไปได้อื่นๆ และประเมินความเสียหายของอวัยวะที่เกี่ยวข้อง
หากบุคคลนั้นอาจมีอาการฮีทสโตรก ขอแนะนำให้ขอความช่วยเหลือทางการแพทย์ทันทีจากบริการฉุกเฉินที่ใกล้ที่สุด
ในผู้ป่วยที่มีภาวะทางระบบประสาทอยู่ก่อนแล้ว เช่น โรคปลอกประสาทเสื่อมแข็ง โรคหลอดเลือดสมอง หรือโรคลมบ้าหมู อาการเหล่านี้อาจรุนแรงขึ้นหลังจากสัมผัสกับอุณหภูมิสูงเป็นเวลานาน

การรักษาฮีทสโตรก

การปฐมพยาบาลเกี่ยวข้องกับการดำเนินการทันทีเพื่อลดอุณหภูมิร่างกายของผู้ที่ร้อนจัดขณะรอการรักษาฉุกเฉิน

  • ให้ผู้ป่วอยู่ในที่ร่มหรือในอาคารที่มีเครื่องปรับอากาศ
  • ถอดเสื้อผ้าส่วนเกินหรือคับออก
  • ทำให้ผู้ป่วยมีอุณหภูมิเย็นลงด้วยวิธีใดก็ตาม เช่น วางถุงน้ำแข็งหรือผ้าเย็นที่เปียกบนศีรษะ คอ รักแร้ และขาหนีบ วางผู้ป่วยในอ่างน้ำเย็นหรือฝักบัวเย็น แล้วฉีดน้ำขณะรอรถพยาบาล

ประเด็นสำคัญอีกประการหนึ่งที่ต้องจำไว้ในขณะที่ให้ความช่วยเหลือในการปฐมพยาบาลคือ บุคคลที่ร้อนเกินไปจะต้องงดเว้นจากเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลหรือแอลกอฮอล์โดยเด็ดขาด เนื่องจากเครื่องดื่มเหล่านี้จะเปลี่ยนแปลงความสามารถของร่างกายในการควบคุมอุณหภูมิแกนกลาง นอกจากนี้ ต้องหลีกเลี่ยงเครื่องดื่มเย็น ๆ เพราะอาจทำให้เส้นเลือดและกระเพาะอาหารตีบตัน ทำให้เกิดตะคริวที่ท้องได้

ภาวะแทรกซ้อนจากฮีทสโตรก

หากไม่รักษาฮีทสโตรกอย่างทันท่วงที อาจส่งผลให้เกิดภาวะแทรกซ้อนต่างๆ ขึ้นกับอุณหภูมิร่างกายที่สูงเป็นเวลานาน หากไม่ได้รับการรักษาอย่างทันที โรคลมแดดอาจถึงแก่ชีวิตได้ ภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรง ได้แก่

  • สมอง ชัก สมองบวม และเซลล์ประสาทถูกทำลายอย่างถาวร
  • กล้ามเนื้อ การสลายของกล้ามเนื้อโครงร่าง (rhabdomyolysis)
  • ไต การบาดเจ็บของไตเฉียบพลันที่เกิดจากการสลายตัวของกล้ามเนื้อโครงร่างที่ปล่อยสารเข้าสู่กระแสเลือด
  • ตับ ความผิดปกติของตับเฉียบพลันที่เกิดจากการขาดน้ำและเลือดไปเลี้ยงตับน้อยลง
  • หัวใจ: ภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะและภาวะหัวใจล้มเหลวที่เกิดจากหัวใจทำงานหนักเกินไป
  • ปอด ภาวะปอดร้ายแรงที่ทำให้ออกซิเจนในเลือดต่ำ (กลุ่มอาการหายใจลำบากเฉียบพลัน)
  • ระบบการแข็งตัวของเลือด ภาวะเลือดออกผิดปกติ หรือลิ่มเลือดอุดตันในร่างกาย

การป้องกัน

เพื่อป้องกันโรคลมแดด แนะนำให้ปฏิบัติตามขั้นตอนต่อไปนี้

  1. สวมเสื้อผ้าที่หลวมหรือบางเมื่อสัมผัสกับความร้อนหรือบริเวณที่อากาศถ่ายเทไม่สะดวก
  2. ป้องกันผิวไหม้แดดด้วยการสวมหมวกปีก แว่นกันแดด และทาครีมกันแดดที่มีค่ากันแดดอย่างน้อย SPF15
  3. จิบดื่มน้ำบ่อยๆ และให้เพียงพอเพื่อรักษาอุณหภูมิร่างกายให้ปกติ
  4. ปรึกษาแพทย์ประจำตัว เพราะยารักษาโรคบางชนิดที่ส่งผลต่อความสามารถของร่างกายในการควบคุมอุณหภูมิความร้อน
  5. หลีกเลี่ยงกิจกรรมที่ต้องใช้แรงมาก งดออกกำลังกายอย่างหนักในบริเวณที่ร้อน ชื้น หรืออากาศถ่ายเทไม่สะดวก ถ้าหลีกเลี่ยงไม่ได้ก็ใช้เวลาให้น้อยที่สุด

Cr. https://bangkokpattayahospital.com/th/health-articles-th/neuroscience-th/heat-stroke/

Categories
บทความ

ภาวะปวดข้อต่ออุ้งเชิงกรานในวัยทำงาน

ภาวะปวดข้อต่ออุ้งเชิงกรานในวัยทำงาน

คนวัยทำงานในปัจจุบันมักทำงานอยู่ในท่านั่ง นั่งหน้าคอมพิวเตอร์ หรือนั่งประชุมติดต่อกันเป็นเวลานาน โดยเฉพาะใน 2-3 ปีที่ผ่านมาในสถานการณ์โรคระบาด ทำให้หนุ่มสาวออฟฟิศส่วนใหญ่ต้องทำงาน work from home อยู่ที่บ้าน ยิ่งทำให้ต้องนั่งติดต่อกันนาน ไม่ได้ลุกขึ้นยืน หรือเปลี่ยนท่าทางตลอดทั้งวัน ยิ่งไปกว่านั้นหากบ้านใดไม่มีโต๊ะทำงาน หรือเก้าอี้ทำงานที่ถูกหลักการยศาสตร์ (ergonomics) ทำให้จำเป็นต้องนั่งพื้น, นั่งทำงานที่โต๊ะญี่ปุ่น, กึ่งนั่งกึ่งนอนพิงหัวเตียงในการทำงาน ซึ่งท่าทางเหล่านี้เป็นปัจจัยที่ส่งเสริมทำให้เกิดความผิดปกติทางร่างกายตามมา เช่น ภาวะปวดคอบ่า ออฟฟิศซินโดรม (office syndrome), ภาวะปวดหลังส่วนล่าง (low back pain) และอาจส่งผลทำให้กระดูกบริเวณก้นกบ (coccyx), กระเบนเหน็บ (sacrum) หรือเนื้อเยื่อบริเวณอุ้งเชิงกราน (pelvic girdle) บาดเจ็บได้ เรียกภาวะนี้ว่า ภาวะปวดข้อต่ออุ้งเชิงกราน (sacroiliac joint dysfunction) (1)

ภาวะปวดข้อต่ออุ้งเชิงกราน (sacroiliac joint dysfunction หรือ SI joint pain) คือ โรคที่เกิดจากความผิดปกติของข้อต่อบริเวณเชิงกราน ซึ่งเป็นข้อต่อที่เชื่อมระหว่างกระดูกสันหลังส่วนกระเบนเหน็บ (sacrum) และกระดูกเชิงกราน (ilium) ดังรูปที่ 1 ซึ่งมีหน้าที่ในการรองรับน้ำหนักตัว (body absorption) ที่จะส่งผ่านแรงจากลำตัวส่วนบน (upper body parts) ต่อไปยังเชิงกราน และรยางค์ส่วนล่าง (lower limbs) ซึ่งระหว่างข้อต่อจะมีเอ็นเชื่อมระหว่างกระดูกทั้งสองที่ช่วยส่งผ่านแรงต่าง ๆ เรียกว่า เอ็นก้นกบ (sacrotuberous ligament) แรงที่ข้อต่อสามารถรองรับได้ เช่น แรงเฉือน (shearing), แรงบิด (torsion), แรงหมุน (rotation) และแรงดึง (tension) ซึ่งหากมีแรงกระทำที่มากเกินไป, การเคลื่อนไหวที่ผิดปกติ หรือการวางตัวของแนวกระดูกผิดไปจากเดิม, การเสื่อมของข้อต่อ (osteoarthritis), ข้อต่อหลวม (joint laxity), เส้นเอ็นที่ยึดข้อเชิงกรานอักเสบ (sacroiliitis) หรือการยึดรั้งข้อต่อ (joint stiffness) จนทำให้เกิดการเสียดสีของกระดูกจนเจ็บปวดขึ้นในขณะเคลื่อนไหวได้ อาการปวดอุ้งเชิงกรานที่อาจจะเกิดขึ้น ได้แก่

– อาการปวดที่บริเวณอุ้งเชิงกราน หรือบริเวณสะโพก มักจะเกิดอาการปวดขณะนั่ง, เดินลงน้ำหนักข้างที่ปวด, นอนตะแคงทับข้างที่ปวด, ขณะเดินขึ้นลงบันได หรือขณะที่เปลี่ยนท่าทาง เช่น เปลี่ยนจากท่านั่งลุกขึ้นยืน, นอนพลิกตะแคงตัว

– อาการมักเกิดขึ้นได้ในลักษณะของอาการปวดแหลม (sharp pain), ปวดคล้ายเข็มเสียดแทง (stabbing pain) หรืออาการปวดร้าว (shooting pain) ซึ่งอาจปวดร้าวลงไปที่บริเวณก้นย้อย, ขา หรือปลายเท้าข้างที่มีอาการ โดยเฉพาะบริเวณต้นขาด้านหลัง

– อาการชา (numbness) ร้าวลงขาที่เกิดจากเส้นประสาทไซอาติก (sciatic nerve) โดนกดเบียดบริเวณข้อต่ออุ้งเชิงกราน ซึ่งมีอาการชาคล้ายกับโรคกระดูกสันหลังทับเส้นประสาท (disc herniation) จนทำให้เกิดการวินิจฉัยคลาดเคลื่อนได้ หากอาการกดเบียดเส้นประสาทเกิดขึ้นเป็นเวลานาน อาจจะทำให้เกิดอาการแขนขาอ่อนแรง (weakness) หรือปวดเมื่อย (fatique) ตามแขนขาได้บ่อยขึ้น (1-3)

รูปที่ 1 แสดงตำแหน่งของกระดูกส่วนต่าง ๆ ของบริเวณข้อต่ออุ้งเชิงกราน

การรักษาทางกายภาพบำบัดในภาวะปวดข้อต่ออุ้งเชิงกรานมีวัตถุประสงค์ตั้งแต่ การดูแลภาวะอักเสบขณะเกิดอาการปวดขึ้นเฉียบพลัน (acute pain) โดยใช้แผ่นประคบเย็น (cold pack) หรือร่วมกับการใช้ยาลดการอักเสบ (anti-inflammatory medication) จากคำแนะนำของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญในการช่วยลดอาการปวดและการอักเสบ ในผู้ป่วยที่มีภาวะข้อต่อเชิงกรานยึดรั้ง การรักษาด้วยวิธีช่วยขยับข้อต่อ (mobilization) จากนักกายภาพบำบัด จะทำให้ข้อต่อเชิงกรานเคลื่อนไหวได้ดีขึ้น นอกจากนี้การออกกำลังกายกล้ามเนื้อมัดใหญ่ โดยเฉพาะกล้ามเนื้อแกนกลางลำตัว (lumbar core stabilizer muscle) และกล้ามเนื้อสะโพก (gluteal muscle) จะทำให้กล้ามเนื้อเหล่านี้ช่วยกระชับข้อต่อ, ลดแรงกระทำต่อข้อต่อที่มากเกินไป และยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานร่วมกับข้อต่อสำหรับการทำกิจกรรมต่างๆ ในขีวิตประจำวัน เช่น การเดิน, การลุกขึ้นยืน-ลงนั่งเก้าอี้ หรือการเดินขึ้นลงบันได

 

Cr. https://pt.mahidol.ac.th/knowledge/?p=2804

Categories
บทความ

อาการปวดกล้ามเนื้อและกระดูก

อาการปวดกล้ามเนื้อและกระดูก

อาการปวดกล้ามเนื้อและกระดูก

อาการปวดกล้ามเนื้อและกระดูก เป็นอาการเจ็บปวดของกล้ามเนื้อ กระดูก ข้อต่อ และเส้นเอ็น อาการปวดอาจเกิดขึ้นที่บริเวณใดบริเวณหนึ่งหรือทั่วร่างกาย อาการปวดกล้ามเนื้อและกระดูกเฉียบพลันอาจเป็นผลมาจากการได้รับบาดเจ็บอย่างฉับพลัน ส่วนอาการปวดเรื้อรังอาจเกิดจากภาวะเสื่อมถอยของร้างกาย โรคข้ออักเสบ หรือโรคไฟโบรมัยอัลเจีย (fibromyalgia) หากอาการปวดรบกวนการใช้ชีวิตประจําวัน ควรปรึกษาแพทย์เพื่อเข้ารับการรักษาที่เหมาะสมเพื่อจะได้มีคุณภาพชีวิตที่ดีต่อไป

ประเภทของอาการปวดกล้ามเนื้อและกระดูก

  • อาการปวดกล้ามเนื้อ: เช่น กล้ามเนื้อเป็นตะคริว หดเกร็ง กระตุก บาดเจ็บ ติดเชื้อ หรือมีเนื้องอก
  • อาการปวดกระดูก: เนื่องจากกระดูกแตก ได้รับบาดเจ็บ  หรือเนื้องอกกระดูก ซึ่งอาจทําให้ปวดกระดูกได้เช่นกันแต่พบได้น้อย
  • อาการปวดข้อ: จากการข้ออักเสบ ข้อติด หรือติดเชื้อในข้อ  
  • อาการปวดเอ็นยึดกระดูกและเอ็นกล้ามเนื้อ: เนื่องจากการฉีกขาด เคล็ดขัดยอก หรือการใช้งานที่หนักเกินไป

สาเหตุของอาการปวดกล้ามเนื้อและกระดูก
อาการปวดกล้ามเนื้อและกระดูกอาจเป็นผลมาจากท่าทางของร่างกายที่ไม่เหมาะสม กล้ามเนื้อเคล็ดขัดยอก การใช้งานกล้ามเนื้อซ้ำ ๆ กระดูกหัก หรือข้อต่อโดนกระแทกจนข้อต่อหลุด เป็นต้น

อาการของการปวดกล้ามเนื้อและกระดูก

อาการของการปวดกล้ามเนื้อและกระดูกนั้นแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับสาเหตุของโรค โดยผู้ป่วยอาการที่พบบ่อย ได้แก่

  • ปวดกล้ามเนื้อ ซึ่งอาจเป็นมากขึ้นเวลาขยับร่างกายส่วนนั้น ๆ
  • ตึงยึดของแขน ขา หรือลำตัว รวมถึงอาจมีกล้ามเนื้อกระตุก
  • รู้สึกกล้ามเนื้อเมื่อยล้าในช่วงกลางวัน หรือมีนอนหลับได้ยากในช่วงกลางคืน

การตรวจวินิจฉัย

แพทย์จะสอบถามเกี่ยวกับอาการปวด และอาการอื่น ๆ เช่น มีไข้ ร่วมด้วยหรือไม่  อะไรที่บรรเทาหรือทำให้อาการแย่ลง ร่วมกับประวัติการรักษาก่อนหน้า รวมถึงโรคประจำตัว  แพทย์จะตรวจร่างกายเพื่อระบุสาเหตุของอาการและอาจสั่งให้ทำการตรวจวินิจฉัยด้วยวิธีต่าง ๆ เช่น เอกซ์เรย์ การตรวจวินิฉัยด้วยเครื่องเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ การตรวจวินิจฉัยด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า หรือตรวจเลือดเพิ่มเติม

การรักษา

เมื่อระบุสาเหตุของอาการปวดได้แล้ว แพทย์จะวางแผนการรักษาซึ่งท่านจะเป็นส่วนหนึ่งในการร่วมเลือกและตัดสินใจ หากอาการปวดนั้นสามารถรักษาได้ด้วยวิธีที่ไม่ต้องผ่าตัด ( หรือท่านไม่ต้องการผ่าตัด) แพทย์อาจสั่งยาแก้ปวด ฉีดยาสเตียรอยด์  ปักเข็มคลายกล้ามเนื้อ ฝังเข็ม หรือให้ท่านใส่อุปกรณ์พยุงร่างกายในส่วนที่มีอาการเจ็บ และแพทย์อาจแนะนำให้ทำกายภาพบําบัด กิจกรรมบําบัด ทำกายอุปกรณ์จัดกระดูก หรือนวดบําบัดทางการแพทย์

เมื่อมีอาการปวดกล้ามเนื้อและกระดูก ท่านควรปฎิบัติตัวตามคำแนะนำของแพทย์หรือบุคลากรทางการแพทย์ที่ให้การบำบัดรักษาร่วมด้วย เช่น การรับประทานยา การปรับวิธีการทำงานในชีวิตประจำวันให้อยู่ในท่าทางที่เหมาะสม   โดยเฉพาะในวันที่อาการปวดเป็นเฉียบพลัน หรือเป็นมากขึ้น ให้ประคบเย็นเพื่อลดอาการบวมและอักเสบ งดใช้งานกล้ามเนื้อ กระดูก และข้อต่อที่ได้รับบาดเจ็บ  ต่อมาเมื่ออาการปวดเริ่มทุเลาให้เปลี่ยนเป็นประคบอุ่นและค่อยๆยืดเหยียด และออกกำลังกายเพิ่มความแข็งแรงของส่วนที่ปวดไปที่ละน้อยๆทุกวัน  โดยทำในแบบที่ไม่ทำให้เกิดการปวดเพิ่มขึ้น

หากท่านสูบบุหรี่ ควรงดสูบบุหรี่เพราะบุหรี่จะทำให้เกิดอาการอักเสบมากขึ้นได้

การป้องกัน

  • หมั่นออกกําลังกายและยืดเหยียดกล้ามเนื้อเป็นประจําเพื่อให้กล้ามเนื้อ กระดูก และข้อต่อแข็งแรง
  • หลีกเลี่ยงการทำท่าทางซ้ำ ๆ เป็นเวลานานเพราะจะทำให้เกิดอาการบาดเจ็บจากการใช้งานกล้ามเนื้อและข้อต่อมากเกินไป
  • เรียนรู้เรื่อง การยศาสตร์ เช่น วิธียกของหนักที่ถูกต้อง, การเลือกโต๊ะเก้าอี้และท่าทางที่ถูกต้องในการทำงานคอมพิวเตอร์ และนำไปปรับใช้เพื่อให้มีท่าทางที่ถูกต้องเหมาะสมได้ตลอดวัน

บทความโดย
พญ.เนตรยา นิ่มพิทักษ์พงศ์

แพทย์ผู้ชำนาญการด้านเวชศาสตร์ฟื้นฟูและกายภาพบำบัด

Cr. https://www.medparkhospital.com/disease-and-treatment/musculoskeletal-pain

Categories
บทความ

ภาวะข้อไหล่หลุด อาการเป็นอย่างไร

ภาวะข้อไหล่หลุด อาการเป็นอย่างไร จำเป็นต้องรักษาด้วยการผ่าตัดหรือไม่?

ข้อไหล่หลุด

หลายคนที่มีอาการปวดหัวไหล่ ปวดไหล่ อาจจะเกิดความสงสัยว่าตนเองเข้าข่าย “ภาวะไหล่หลุด” หรือไม่ อาการปวดไหล่ที่กำลังเผชิญอยู่เป็นอาการอะไรกันแน่ ? 

ทั้งนี้ข้อไหล่หลุดเป็นภาวะที่สามารถพบได้ทั่วไป ซึ่งส่วนใหญ่มักจะมีสาเหตุจากการใช้ชีวิตประจำวัน หรืออุบัติเหตุที่เกิดขึ้นในขณะที่ทำกิจกรรม ทำให้หัวไหล่เกิดความผิดปกติ ผิดรูป และรู้สึกปวดไหล่ ที่สำคัญถ้าหากเกิดภาวะไหล่หลุดกับตัวคุณเองไม่ควรพยายามที่จะดึงไหล่ให้กลับมาในองศาเดิม เพราะอาจจะทำให้อาการรุนแรงมากกว่าเดิม  

บทความนี้จะช่วยให้คุณเข้าเกี่ยวกับภาวะข้อไหล่หลุด ว่ามีสาเหตุมาจากอะไร อาการไหล่หลุดเป็นอย่างไร แบบไหนถึงเรียกว่าภาวะข้อไหล่หลุด พร้อมทั้งแนะนำวิธีรักษาวิธีปฐมพยาบาลเบื้องต้นเมื่อหัวไหล่หลุด และแนวทางในการป้องกันอาการหัวไหล่หลุด เนื่องจากภาวะสามารถเกิดได้กับทุกคน

ภาวะข้อไหล่หลุด (Dislocated Shoulder)

ภาวะข้อไหล่หลุด (Dislocated Shoulder) เป็นอาการที่สามารถพบได้ทั่วไป และสามารถเกิดได้กับทุกคนไม่ว่าจะเป็นเพศ หรือวัยไหนก็ตาม โดยที่ข้อไหล่หลุดออกจากเบ้า ส่วนใหญ่มักหลุดไปทางด้านหน้า (Anterior Shouulder Dislocation) ซึ่งมีสาเหตุมาจากการไม่เข้ากันระหว่างหัวกระดูกและเบ้ากระดูกของหัวไหล่ ผู้ป่วยสามารถสังเกตอาการไหล่หลุดได้จากลักษณะที่แปลกไปของหัวไหล่ อาการชาจากการบาดเจ็บ ขยับไหล่ไม่ได้ และอาการปวดที่หัวไหล่หรือบริเวณรอบๆ อย่างรุนแรง 

ที่สำคัญสำหรับอาการไหล่หลุดยกแขนไม่ขึ้น ผู้ป่วยไม่ควรพยายามที่จะดึงหรือเคลื่อนไหวไหล่กลับสู่ตำแหน่งเดิมด้วยตนเอง เพราะจะทำให้เกิดความเสียหายหรืออาการไหล่หลุดแย่ลงกว่าเดิม หากมีเกิดอาการไหล่หลุดควรรีบไปพบแพทย์เพื่อเข้ารับการรักษาที่ถูกวิธี และสำหรับผู้ที่เคยมีประวัติไหล่หลุดอาจจะเกิดอาการซ้ำได้ในอนาคต 


ไหล่หลุดเกิดจากสาเหตุใด

สาเหตุของไหล่หลุด

อาการไหล่หลุดนับเป็นเรื่องที่ไม่ไกลตัว เนื่องจากข้อไหล่เป็นข้อที่มีพิสัยการเคลื่อนไหวได้มากที่สุดในร่างกาย และมีโอกาสหลุดได้ง่ายกว่าข้ออื่นๆ โดยไหล่หลุดเป็นอาการที่สามารถเกิดได้กับทุกคน ลองมาดูสาเหตุที่ทำให้ไหล่หลุด เกิดจากอะไร

1. อุบัติเหตุที่ส่งผลต่อไหล่

สาเหตุของอาการไหล่หลุดที่เกิดจากอุบัติเหตุเป็นเหตุการณ์ที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ และมักเกิดจากความไม่ตั้งใจหรือประมาท ไม่ว่าจะเป็น รถล้ม ตกจากที่สูง หรือถูกฉุดแขนแรงเกินไป เมื่อข้อไหล่ถูกกระแทกอย่างแรงสามารถทำให้กระดูกหลุดมานอกเบ้าได้ 

2. การเล่นกีฬาบางประเภท

นอกจากสาเหตุที่มาจากอุบัติเหตุแล้ว การเล่นกีฬาบางประเภทยังเป็นอีกสาเหตุหลักของภาวะข้อไหล่หลุด เนื่องจากกีฬาบางประเภทจำเป็นที่ต้องรับแรงกระแทกที่รุนแรง รวมไปถึงการชน หกล้ม และการกระชากแขนในขณะที่เล่นกีฬา ไม่ว่าจะเป็น รักบี้ ว่ายน้ำ บาสเกตบอล ฟุตบอล และอเมริกันฟุตบอล เป็นต้น 

3. พันธุกรรมทางกายวิภาค

นอกจากการกระแทกอย่างรุนแรงแล้ว อาการไหล่หลุดยังถูกนับเป็นโรคทางพันธุกรรมที่เรียกว่า ข้อหลวม (Joint Laxity) ซึ่งผู้ป่วยข้อหลวมบริเวณข้อต่อที่เป็นเนื้อเยื่ออ่อนจะมีความยืดหยุ่นสูงกว่าปกติ ทำให้ผู้ป่วยในกลุ่มนี้ข้อยืดและหลุดได้ง่ายกว่า จึงเป็นสาเหตุทำให้ผู้ป่วยข้อหลวมมีเกิดโอกาสเสี่ยงการเกิดภาวะไหล่หลุดมากกว่าคนทั่วไป 

4. การตึงของกล้ามเนื้อที่ผิดปกติ

อาการตึงของกล้ามเนื้อที่ผิดปกติ สามารถทำให้ข้อไหล่หลุดไปทางด้านหลังได้ ซึ่งมีสาเหตุมาจากไฟช็อต ไฟดูด หรือโรคลมชัก เป็นต้น แต่สาเหตุการตึงของกล้ามเนื้อที่ผิดปกติทำให้ข้อไหล่หลุดนั่นเป็นสาเหตุที่พบได้ไม่บ่อยมากนัก 

5. การเสื่อมสภาพตามอายุ

อายุเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้เกิดโอกาสเสี่ยงไหล่หลุดมากขึ้น โดยจากผลสำรวจพบว่าในเด็ก วัยรุ่น และผู้สูงอายุมีโอกาสเสี่ยงที่จะเกิดอาการไหล่หลุดได้มากที่สุด พร้อมทั้งในเด็กที่อายุน้อยกว่า 19 ปี หากมีประวัติภาวะข้อไหล่หลุดมีโอกาสที่จะเกิดอาการไหล่หลุดซ้ำได้สูงถึง 90 – 95% 

6. ข้อต่อไม่แข็งแรงในเด็ก

อาการไหล่หลุดในเด็กมีสาเหตุมาจากเส้นเอ็นในข้อต่อของเด็กยังไม่มีความแข็งแรงมั่นคงเท่าเส้นเอ็นและกล้ามเนื้อของผู้ใหญ่ ดังนั้นถ้าหากเกิดการกระชาก หรือการกระแทกในขณะที่เล่น หรือกำลังทำกิจกรรมอาจจะทำให้กระดูก Radius และเส้นเอ็นหลุดออกจากกันและเคลื่อนที่ได้ง่าย และกลายเป็นภาวะข้อไหล่หลุดในเด็กนั่นเอง 


อาการไหล่หลุดเป็นอย่างไร

กระดูกไหล่หลุดเป็นอาการที่เด่นชัด ผู้ป่วยสามารถสังเกตได้ด้วยตาเปล่า และอาการปวดบริเวณรอบข้อต่อ โดยอาการไหล่หลุดที่พบมักมีสาเหตุมาจากการทำกิจกรรม เล่นกีฬาบางประเภท และอุบัติเหตุ ซึ่งอาการของภาวะข้อไหล่หลุด มีดังนี้  

  • หัวกระดูกหัวไหล่หลุดออกจากเบ้าไหล่ สามารถหลุดได้หลายทิศทาง ไม่ว่าจะเป็น ด้านหน้า ด้านข้าง และด้านหลัง 
  • ข้อไหล่มีรูปร่างผิดแปลกจากเดิม ได้แก่ มีก้อนนูนขึ้นมาด้านหน้าเพราะหัวไหล่หลุดมาด้านหน้าด้าน หรือ ด้านข้างของไหล่แฟบลง 
  • รู้สึกปวดบริเวณหัวไหล่และบริเวณรอบข้างมากกว่า บางครั้งอาจจะมีอาการปวดรุนแรงจนถึงขั้นไม่สามารถขยับหรือเคลื่อนไหวได้ 
  • รู้สึกเจ็บเหมือนมีเข็มทิ่ม และชารอบข้าง เช่น คอหรือแขน
  • เมื่อกล้ามเนื้อที่หัวไหล่เกิดอาการเกร็ง หรือกล้ามเนื้อกระตุกจะรู้สึกเจ็บมากขึ้นเรื่อยๆ 

ใครบ้างที่เสี่ยงข้อไหล่หลุด

กลุ่มเสี่ยงภาวะไหล่หลุด

แม้ว่าอาการไหล่หลุดจะเป็นอาการที่สามารถเกิดได้กับทุกคนเพศ ทุกวัย แต่ยังมีกลุ่มคนที่มีโอกาสเสี่ยงเกิดภาวะข้อไหล่หลุดมากกว่าคนทั่วไป ได้แก่  

  • ในวัยเด็ก วัยรุ่น และผู้สูง ที่ข้อต่อหลวมเนื่องจากสภาพร่างกายที่ยังพัฒนาไม่เต็มที่ หรือเสื่อมสภาพตามอายุ มีโอกาสเสี่ยงเกิดอาการไหล่หลุด
  • ผู้ที่เคยมีประวัติไหล่หลุดมากก่อน 
  • ผู้ที่เป็นโรคภาวะข้อหลวม ที่ทำให้ข้อต่อในร่างกายหลุดได้ง่ายกว่าคนทั่วไป 
  • ผู้ที่เล่นกีฬาที่จำเป็นต้องมีการปะทะ กระแทก หรือชนระหว่างเล่น เช่น รักบี้ อเมริกันฟุตบอลบาสเกตบอล 
  • นักกีฬาที่จำเป็นต้องยกแขนเหนือศีรษะมีโอกาสเสี่ยงไหล่หลุดมากกว่ากีฬาอื่นๆ เช่น นักว่ายน้ำ นักเทนนิส และนักยิมนาสติก เป็นต้น 

การตรวจวินิจฉัยภาวะข้อไหล่หลุด

สำหรับผู้ป่วยที่มีอาการไหล่หลุด ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อตรวจร่างกายและเข้ารับการรักษาทันที โดยแพทย์จะทำการวินิจฉัยภาวะข้อไหล่หลุดเบื้องต้นด้วยการตรวจร่างกาย พร้อมทั้งดูลักษณะภายนอก ได้แก่ อาการบวม แดง การไหลเวียนของเลือดและความผิดปกติอื่นๆ บริเวณรอบข้อหัวไหล่ 

ทั้งนี้ถ้าหากแพทย์วินิจฉัยอาการไหล่หลุดว่ามีความรุนแรงและเสียหายภายในกระดูก แพทย์จะใช้วิธีเอกซเรย์ (X-ray) เพื่อตรวจหากว่ามีจุดใดบ้างที่กระดูกหักหรือได้รับความเสียหาย และในบางกรณีแพทย์อาจจะใช้การตรวจด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (MRI) เพื่อหาความผิดปกติของกล้ามเนื้อและเส้นเอ็น ว่าได้รับความเสียหายมากน้อยเพียงใด เพื่อประกอบการวินิจฉัยและรักษาได้ตรงจุดมากที่สุด 


วิธีปฐมพยาบาลเบื้องต้นเมื่อข้อไหล่หลุด

หลายคนเมื่อเกิดเหตุการณ์ไหล่หลุดขึ้นกับตนเองหรือคนใกล้ชิด ส่วนใหญ่มักจะมีอาการตกใจทำอะไรไม่ถูก ไม่รู้ว่าควรปฐมพยาบาลเบื้องต้นอย่างไร ซึ่งบางครั้งการขยับไหล่หรือปฐมพยาบาลแบบผิดๆ สามารถทำให้ภาวะข้อไหล่หลุดแย่ลงได้ หากเกิดเหตุการณ์ไหล่หลุดแนะนำให้ปฏิบัติตามวิธีนี้ต่อไปนี้ 

  • หาตัวช่วยประคองแขน 

หลังจากที่เกิดภาวะไหล่หลุดแล้ว แนะนำให้ผู้ป่วยหาตัวช่วยมาประคองแขนสิ่งที่หาได้ง่ายที่สุด คือ มือและแขนอีกข้างของผู้ป่วย แนะนำให้นำมาประคองข้างที่ไหล่หลุดไว้ก่อน แล้วค่อยหาตัวช่วยเสริม เช่น ที่คล้องแขน ผ้า และหมอน เป็นต้น เพื่อป้องกันไม่ให้แขนเคลื่อนไหวมากจนเกินไป และควรรีบไปพบแพทย์และรักษาให้เร็วที่สุด เพราะภาวะข้อไหล่หลุดเป็นภาวะที่จำเป็นต้องรักษาทันที 

  • ประคบเย็น

ผู้ป่วยไหล่หลุดสามารถใช้วิธีประคบเย็นเพื่อบรรเทาอาการปวดก่อนที่จะไปพบแพทย์ เพื่อเข้ารับการรักษาได้ ซึ่งการประคบเย็นเป็นเพียงการปฐมพยาบาลเบื้องต้นที่สามารถช่วยบรรเทาอาการปวดเท่านั้น แต่อาการปวดจะหายเมื่อแพทย์จัดตำแหน่งกระดูกให้กลับเข้าสู่ตำแหน่งเดิม 

  • ห้ามพยายามขยับหรือดัดหัวไหล่กลับตำแหน่งเดิม

สำหรับผู้ป่วยที่มีภาวะไหล่หลุดทางที่ดีที่สุด คือ รีบไปพบแพทย์เพื่อให้แพทย์จัดกระดูกกลับตำแหน่งเดิม และรักษาเพื่อบรรเทาความเสียหายต่างๆ การที่ผู้ป่วยพยายามขยับหัวไหล่หรือพยายามดึงไหล่ หลังจากเกิดภาวะไหล่หลุด ให้ไหล่กลับไปสู่ตำแหน่งเดิมจะยิ่งทำให้เกิดความเสียหายต่อกระดูก เส้นเอ็น และกล้ามเนื้อ บริเวณรอบๆ หัวไหล่ ซึ่งอาจจะทำให้กระดูกแตกหัก หรือเส้นเอ็นต่างๆ ฉีกขาด และส่งผลให้อาการแย่ลงกว่าเดิมได้ 


แนวทางการรักษาภาวะข้อไหล่หลุด

วิธีรักษาอาการไหล่หลุด

เนื่องจากภาวะข้อไหล่หลุดมีระดับความรุนแรงหลายระดับ ทำให้การรักษามีหลายแบบ ตั้งแต่วิธีรักษาไหล่หลุดแบบไม่จำเป็นผ่าตัด ไปจนถึงการผ่าตัดเพื่อรักษาอาการไหล่หลุด ทั้งนี้การรักษาหลายรูปแบบเพื่อให้เหมาะสมกับความรุนแรงของอาการ 

1. การรักษาข้อไหล่หลุดแบบไม่ผ่าตัด

สำหรับผู้ป่วยที่มีอาการไหล่หลุดครั้งแรก ส่วนใหญ่มักจะรักษาไหล่หลุดแบบไม่ผ่าตัด โดยแพทย์จะจ่ายยาช่วยระงับอาการปวด และใส่ที่คล้องแขนเพื่อจัดตำแหน่งกระดูกกลับตำแหน่งเดิมประมาณ 2 – 4 สัปดาห์ และเมื่อครบกำหนดแล้ว แพทย์จะนัดเพื่อตรวจดูอาการไหล่อีกครั้ง เมื่อไหล่กลับเข้าสู่ภาวะปกติและตำแหน่งเดิมแล้วจึงจะนำที่คล้องแขนออก หลังจากที่นำที่คล้องแขนแล้ว ผู้ป่วยจำเป็นต้องทำกายภาพบำบัดตามที่แพทย์แนะนำ เพื่อฟื้นฟูกล้ามเนื้อและเส้นเอ็นบริเวณรอบๆ หัวไหล่และแขน ให้กลับมาเคลื่อนไหวได้อย่างปกติ 

2. การผ่าตัดข้อไหล่หลุด

วิธีการรักษาไหล่หลุดโดยการผ่าตัด เหมาะกับผู้ป่วยที่เคยมีประวัติไหล่หลุด และเกิดอาการไหล่หลุดซ้ำๆ อยู่บ่อยครั้ง เนื่องจากผู้ป่วยที่เคยมีประวัติไหล่หลุด เนื้อเยื่ออ่อนในข้อไหล่ฉีก และไม่สามารถซ่อมแซมตัวเองให้กลับมาเหมือนเดิมได้ ทำให้เกิดภาวะเบ้ากระดูกไหล่สึก ข้อหลวม และเกิดอาการไหล่หลุดซ้ำๆ นั่นเอง 

ก่อนการผ่าตัดเพื่อรักษาอาการไหล่หลุด แพทย์จะใช้วิธีตรวจ MRI เพื่อตรวจดูว่าข้อไหล่ได้รับความเสียหายบริเวณใดบ้าง เพื่อประเมินอาการและความรุนแรงของผู้ป่วย โดยวิธีผ่าตัดรักษาไหล่หลุดมีทั้งหมด 2 แบบ ได้แก่ 

 

  • การผ่าตัดแบบเปิด

การผ่าตัดแบบเปิด หรือที่เรียกว่า การผ่าตัดเสริมภาวะเบ้ากระดูกไหล่เสื่อม (Glenoid Reconstruction) เหมาะสำหรับผู้ที่มีภาวะข้อไหล่หลุดซ้ำๆ เป็นการผ่าตัดเพื่อเสริมกระดูกเบ้าหัวไหล่ด้วยการตัดกระดูกจากกระดูกกลุ่มโคราคอยด์ โพรเซส (Coracoid Process) มาเสริมที่บริเวณเบ้าหัวไหล่ 

การผ่าตัดแบบเปิดเหมาะกับผู้ป่วยที่ภาวะเบ้ากระดูกไหล่สึกเกิน 15 – 25 % โดยแพทย์จะส่งตัวไปตรวจ MRI เพื่อประเมินกระดูก เนื้อเยื่อ และกล้ามเนื้อ การผ่าตัดแบบเปิดจึงเป็นวิธีการรักษาสำหรับผู้ที่แพทย์พิจารณาว่าไม่สามารถตัดแบบส่องกล้องได้ หรือมีโอกาสผ่าตัดไม่สำเร็จสูง 

 

  • การผ่าตัดแบบส่องกล้อง

ผู้ป่วยภาวะไหล่หลุดส่วนใหญ่ที่ไม่ได้รับความเสียหายที่กระดูกข้อไหล่ หรือสึกหรอน้อย มักจะรักษาด้วยการผ่าตัดส่องกล้อง ซึ่งการผ่าตัดส่องกล้องเป็นการเย็บซ่อมแซมเยื่อหุ้มข้อไหล่ที่เกิดการฉีดขาด หรือการยืดให้กลับมาใกล้เคียงปกติ โดยใส่กล้องและอุปกรณ์เข้าไปเย็บซ่อมแซมเยื่อหุ้มข้อไหล่ให้ตึงมากขึ้น 

ทั้งนี้การผ่าตัดแบบส่องกล้องเพื่อรักษาอาการไหล่หลุด เป็นวิธีที่เสียเลือดน้อย ผู้ป่วยสามารถฟื้นตัวได้ไว และไม่จำเป็นต้องนอนพักฟื้นที่โรงพยาบาลเป็นเวลา ช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายลงได้ นอกจากนี้การผ่าตัดส่องกล้องยังช่วยลดโอกาสการบาดเจ็บต่อเนื้อเยื่อในบริเวณรอบๆ 


ระยะฟื้นตัวจากภาวะข้อไหล่หลุด

กายภาพบำบัดสำหรับผู้ป่วยไหล่หลุด

โดยปกติแล้วผู้ป่วยสามารถกลับบ้านได้ทันทีหลังจากที่ไหล่กลับสู่ตำแหน่งเดิม แต่ต้องหลีกเลี่ยงการใช้แขนข้างที่ไหล่หลุดประมาณ 2 – 3 วัน 

1. ระยะฟื้นตัวของผู้ป่วยข้อไหล่หลุด

ระยะฟื้นตัวของผู้ป่วยข้อไหล่หลุด สามารถแบ่งออกเป็น 2 แบบ ได้ดังนี้ 

 

  • ผู้ป่วยข้อไหล่หลุดที่รักษาโดยไม่ต้องผ่าตัด

สำหรับการพักฟื้นในระยะนี้ผู้ป่วยจะใช้ที่คล้องแขนเพื่อลดการเคลื่อนไหวของแขนประมาณ 2 – 4 สัปดาห์ เมื่อครบตามกำหนดที่แพทย์สั่ง และตรวจเช็คร่างกายกับแพทย์อีกครั้งแล้วจึงจะสามารถกลับมาใช้แขน และเริ่มทำกายภาพเพื่อให้กล้ามเนื้อแขนกลับมาใช้งานได้ปกติ 

  • ผู้ป่วยข้อไหล่หลุดที่รักษาด้วยวิธีผ่าตัด

สำหรับผู้ป่วยภาวะข้อไหล่หลุดที่รักษาด้วยวิธีผ่าตัดจำเป็นต้องใช้ที่คล้องแขนเพื่อลดการเคลื่อนไหวประมาณ 4 – 6 สัปดาห์ และหลังจากถอดที่คล้องแขนแล้วจำเป็นต้องทำกายภาพบำบัด เพื่อให้แขนจะสามารถกลับมาใช้งานได้ใกล้เคียงปกติ โดยจะใช้เวลาประมาณ 2 – 3 เดือน ทั้งนี้ระยะพักฟื้นตัวของแต่ละคนไม่เท่ากัน ขึ้นอยู่กับสมรรถภาพทางร่างกายและความแข็งแรงของแต่ละคน

2. การใช้ยาบรรเทาอาการปวด

ผู้ป่วยไหล่หลุดอาจจะมีอาการปวดบริเวณหัวไหล่รุนแรง 2 – 3 วันแรกหลังจากที่กลับมารักษาตัวต่อที่บ้าน แนะนำให้ทานยาแก้ปวดหรือยาคลายกล้ามเนื้อ เพื่อบรรเทาอาการปวด เช่น พาราเซตามอล นาพรอกเซน อะเซตามิโนเฟน หรือ ไอบูโพรเฟน โดยผู้ป่วยสามารถอ่านวิธี ปริมาณ และข้อควรปฏิบัติได้ที่ฉลากข้างกล่องยา และสำหรับผู้ป่วยไหล่หลุดที่มีอาการปวดรุนแรงยาแก้ปวดไม่สามารถบรรเทาอาการได้ แพทย์อาจจะสั่งยาแก้ปวดที่ออกฤทธิ์รุนแรงมากกว่า เช่น โคเดอีน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับอาการความรุนแรง และดุลยพินิจของแพทย์ 

3. การออกกำลังกายสำหรับผู้ป่วยข้อไหล่หลุด

หลังจากที่ผู้ป่วยไหล่หลุดถอดที่คล้องแขนออกแล้ว แพทย์อาจจะแนะนำให้ทำกายภาพบำบัดและออกกำลังกายแขนและไหล่เบาๆ เพื่อช่วยเสริมสร้างกล้ามเนื้อให้กลับมาแข็งแรง โดยการออกกำลังกายสำหรับผู้ป่วยไหล่หลุดสามารถช่วยบรรเทาอาการต่อไปนี้  

  • ลดภาวะข้อไหล่ติด 
  • ลดความฝืดของกล้ามเนื้อและเส้นเอ็น 
  • บรรเทาความเจ็บปวด
  • เสริมสร้างกล้ามเนื้อให้กลับมาแข็งแรง

ทั้งนี้ผู้ป่วยไหล่หลุดที่มีอาการเจ็บปวดหลังจากที่เริ่มออกกำลังกายควรหยุด และปรึกษาแพทย์ทันทีเพื่อความปลอดภัย 


ภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดเมื่อข้อไหล่หลุด

ภาวะแทรกซ้อนจากข้อไหล่หลุด

ผู้ป่วยที่เคยมีประวัติไหล่หลุด หรือเกิดอาการไหล่หลุดบ่อยๆ เมื่อมีอาการปวดข้อความรุนแรงควรรีบไปพบแพทย์ทันที เพราะอาจเกิดภาวะแทรกซ้อนที่เกิดจากข้อไหล่หลุดได้ 

1. กล้ามเนื้อหรือเส้นเอ็นฉีกขาด

เนื่องจากบริเวณหัวไหล่มีกล้ามเนื้อ และเส้นเอ็นจำนวนมาก เมื่อเกิดภาวะข้อไหล่หลุดอาจจะทำให้กล้ามเนื้อและเส้นเอ็นบริเวณรอบๆได้รับความเสียหาย หรือได้รับบาดเจ็บ ซึ่งส่งผลให้เกิดอาการปวดอย่างรุนแรงเนื่องจากกล้ามเนื้อได้รับบาดเจ็บ หรือเส้นเอ็นฉีกขาด  

2. เส้นประสาทได้รับความเสียหาย

บริเวณหัวไหล่มีเส้นประสาทจำนวนมาก เมื่อเกิดอาการไหล่หลุดอาจจะส่งผลต่อเส้นประสาทบริเวณรอบๆ หัวไหล่ ทำให้ได้รับความเสียหาย และเมื่อเส้นประสาทได้รับความเสียหายสามารถส่งผลให้เกิดอาการแขนอ่อนแรง หรือรู้สึกชาบริเวณแขนและหัวไหล่ได้ 

3. ภาวะไหล่คลอน

ภาวะไหล่คลอนเป็นภาวะที่เกิดกับผู้ป่วยที่มีประวัติไหล่หลุดรุนแรงมาก่อน หรือไหล่หลุดบ่อยๆ หลายครั้ง โดยมักจะมีอาการเหมือนกับกระดูกหัวไหล่ต่อไม่สนิทกับเบ้าหัวไหล่ ทำให้รู้สึกสะดุดเวลาขยับแขนหรือขยับร่างกาย 


การป้องกันไม่ให้เกิดภาวะข้อไหล่หลุด

 วิธีป้องกันภาวะข้อไหล่หลุด

เพราะอาการไหล่หลุดมักเกิดจากกระแทกจากอุบัติเหตุ หรือการเล่นกีฬาบางประเภท รวมไปถึงการหกล้มในผู้สูงอายุ การป้องกันไหล่หลุดได้ดีที่สุดคือการระมัดระวังในการใช้ชีวิต นอกจากนี้ยังสามารถปฏิบัติตามวิธีต่อไปนี้เพื่อหลีกเลี่ยงภาวะข้อไหล่หลุด  

  • ใช้ราวจับในขณะขึ้นลงบันได
  • ใช้แผ่นกันลื่นในห้องน้ำ หรือบริเวณที่มักเปียก 
  • สวมอุปกรณ์ป้องกันในขณะที่เล่นกีฬาที่จำเป็นต้องกระแทก หรือชนในระหว่างเล่น 
  • พยายามปลูกฝังพฤติกรรมให้เด็กๆ ระมัดระวังในขณะที่เล่น 
  • ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอเพื่อเสริมสร้างความแข็งแรงและความยืดหยุ่นของกล้ามเนื้อ 

คำถามที่พบบ่อย

หากข้อไหล่หลุด ดึงกลับเข้าที่ด้วยตัวเองได้ไหม

สำหรับผู้ที่มีภาวะข้อไหล่หลุดบ่อยๆ ถึงแม้ว่าจะสามารถดึงหัวไหล่กลับเข้าที่ได้ด้วยตัวเอง แต่ทางการแพทย์ไม่แนะนำให้ทำ เนื่องจากเป็นวิธีแก้ไหล่หลุดอาจจะสร้างความเสียหายให้กับกระดูก กล้ามเนื้อ และเส้นเอ็น บริเวณหัวไหล่และรอบๆ ได้ ซึ่งอาจจะทำให้กระดูกแตกหัก หรือเส้นเอ็นฉีกขาดทำให้อาการไหล่หลุดรุนแรงมากกว่าเดิม และทำให้การรักษายากขึ้นไปอีกขั้น ทางที่ดีที่สุดเมื่อเกิดอาการไหล่หลุดแนะนำให้ปฐมพยาบาลเบื้องต้นโดยการหาตัวช่วยประคองแขนไม่ให้เคลื่อนไหวและรีบไปพบแพทย์ให้เร็วที่สุด 

ไหล่หลุด จำเป็นต้องผ่าตัดหรือไม่

การผ่าตัดเพื่อรักษาอาการไหล่หลุดเป็นการรักษาสำหรับผู้ป่วยที่มีอาการไหล่หลุดซ้ำๆ ถี่ๆ เนื่องจากเนื้อเยื่ออ่อนบริเวณรอบๆ อ่อนแรง หรือเข้าข่ายภาวะข้อหลวมทำให้เกิดอาการไหล่หลุดบ่อยๆ แต่สำหรับผู้ป่วยที่มีอาการไหล่หลุดครั้งแรก ส่วนใหญ่มักจะไม่จำเป็นต้องผ่าตัด โดยวิธีที่ใช้รักษาผู้ป่วยไหล่หลุดครั้งแรกจะเป็นการจัดกระดูกให้เข้าที่ (Manipulation) และใช้ที่คล้องแขน เพื่อลดการเคลื่อนไหวของแขน เพื่อให้กล้ามเนื้อ เส้นเอ็น และกระดูกให้พักฟื้น และซ่อมแซมส่วนที่เสียหาย 


ข้อสรุป

ไหล่หลุด คือ ภาวะที่สามารถเกิดขึ้นได้กบทุกเพศ ทุกวัย โดยในวัยเด็ก วัยรุ่น และผู้สูงอายุมักเกิดอาการไหล่หลุดที่มีสาเหตุมาจากการได้รับแรงกระแทกอย่างรุนแรงจากอุบัติเหตุ และการเล่นกีฬาบางประเภท ซึ่งภาวะข้อไหล่หลุดเป็นอาการที่ต้องรีบรักษาโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญในทันที 

ที่สำคัญผู้ป่วยที่มีอาการไหล่หลุดไม่ควรพยายามดึงไหล่ให้กลับสู่ตำแหน่งเดิมด้วยตนเอง เพราะจะยิ่งทำให้กล้ามเนื้อ กระดูก และเส้นเอ็นบริเวณหัวไหล่และรอบๆ ได้รับความเสียหายมากกว่าเดิม หากผู้ป่วยมีอาการไหล่หลุดครั้งแรกมักจะเป็นการรักษาโดยการจัดกระดูกและใช้ที่คล้องแขนประคองแขน แต่ถ้าผู้ป่วยมีอาการไหล่หลุดซ้ำๆ อาจจะต้องรักษาด้วยวิธีผ่าตัด ทั้งนี้วิธีรักษาขึ้นอยู่กับความรุนแรงของโรคและดุลยพินิจของแพทย์

Cr. https://www.samitivejchinatown.com/th/health-article/dislocated-shoulder

Categories
บทความ

โรคมะเร็งทางนรีเวชที่พบบ่อย ภัยร้ายของผู้หญิงที่ต้องระวัง

โรคมะเร็งทางนรีเวชที่พบบ่อย ภัยร้ายของผู้หญิงที่ต้องระวัง

มะเร็งทางนรีเวช หรือ มะเร็งอวัยวะสืบพันธุ์ผู้หญิง เป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับต้น ๆ ของผู้หญิง โดยปัจจัยสำคัญมากจากพฤติกรรมการใช้ชีวิต หรือประวัติการเป็นมะเร็งของคนในครอบครัว ที่ทำให้ผู้หญิงไทยเป็นโรคมะเร็งนรีเวชกันมากขึ้น โดย 3 อันดับที่พบบ่อย ได้แก่ มะเร็งปากมดลูก มะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูก และมะเร็งรังไข่ แต่จริงๆ แล้วสามารถพบได้ทุกอวัยวะ ไม่ว่าจะเป็น มะเร็งปากช่องคลอด มะเร็งช่องคลอด มะเร็งกล้ามเนื้อมดลูก มะเร็งเนื้อรก แต่ส่วนนี้จะพบได้น้อย ทั้งนี้มะเร็งทางนรีเวชสามารถเป็นได้ทุกช่วงอายุ ดังนั้นผู้หญิงทุกคนควรหมั่นสังเกตตัวเอง หากพบว่ามีอาการผิดปกติควรรีบมาพบแพทย์เฉพาะทาง และเพื่อให้รู้เท่าทันไปทำความรู้จักกับ 3 มะเร็งทางนรีเวชที่พบบ่อยกันดีกว่า

ปัจจัยเสี่ยงในการเกิดมะเร็งทางนรีเวชแต่ละชนิด

  1. มะเร็งปากมดลูก เป็นมะเร็งที่พบเป็นอันดับ 2 ของมะเร็งในผู้หญิง มักพบในผู้หญิงที่มีช่วงอายุ 35-55 ปี ตัวก่อมะเร็งที่ชัดเจน คือ เชื้อไวรัสเอชพีวี (HPV: Human Papillomavirus) เชื้อไวรัสที่แพร่กระจายได้ง่ายผ่านการสัมผัสกับเชื้อโดยตรง หรือการมีเพศสัมพันธ์ นอกจากนั้นก็จะเป็นพฤติกรรมต่างๆ เช่น การสูบบุหรี่ การมีคู่นอนหลายคน หรือกรรมพันธุ์ซึ่งอาจจะไม่ค่อยมีส่วนเกี่ยว ส่วนใหญ่จะเป็นการติดเชื้อ HPV แต่ไม่จำเป็นที่จะต้องเป็นเชื้อ HPV เท่านั้น
  2. มะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูก มักพบในผู้หญิงที่อายุ 60 ปีขึ้นไป เกิดจากการทานตัวยาบางอย่าง และได้รับฮอร์โมนที่เกินขนาด อาจจะเป็นยาฮอร์โมนที่ซื้อทานเอง ยาฮอร์โมนในวัยทองที่ได้รับมานานเกินไป หรือว่าการทานยาบางอย่าง เช่น ทาม็อกซิเฟน (Tamoxifen) ที่ใช้รักษาโรคมะเร็งเต้านม และมาจากร่างกายที่มีน้ำหนักเยอะ หรือประจำเดือนไม่ค่อยมา
  3. มะเร็งรังไข่ มักพบได้บ่อยในช่วงอายุ 55-64 ปี ปัจจุบันยังไม่ทราบสาเหตุการเกิดมะเร็งรังไข่อย่างแน่ชัด แต่สันนิษฐานได้ว่าเกิดจากการผิดปกติที่ถ่ายทอดของพันธุกรรม โดยจะพบมากในกลุ่มครอบครัวที่มีประวัติเป็นมะเร็งรังไข่ รวมทั้งปัจจัยเสี่ยงในกลุ่มสตรีที่ใช้ยากระตุ้นการตกไข่

อาการของมะเร็งทางนรีเวชแต่ละชนิด

  1. มะเร็งปากมดลูก ถ้ารอให้มีอาการแสดงว่าก้อนมะเร็งมีขนาดใหญ่ขึ้นแล้ว มะเร็งปากมดลูกยังมีข้อดีอยู่ตรงที่ก้อนมะเร็งจะค่อยๆ โตขึ้น โตช้า แต่ว่าจะมีขั้นตอนการตรวจที่ชัดเจน คือ จะสามารถตรวจจับได้ตั้งแต่เซลล์ก่อนเป็นมะเร็ง โดยมะเร็งปากมดลูกระยะแรกจะไม่มีอาการ พบได้จากจากตรวจเท่านั้น ถ้ามีอาการจะมีเลือดออกหลังมีเพศสัมพันธ์ เลือดออกไม่เป็นรอบ กระปริบกระปรอย หรือตกขาวเหม็นไม่หายเรื้อรัง แต่ถ้ามีอาการก็จะพบเป็นก้อน 3-4 เซนติเมตร
  2. มะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูก จะแยกระหว่างวัยหมดประจำเดือนและวัยยังไม่หมดประจำเดือน ถ้าในวัยหมดประจำเดือน การกลับมามีเลือดออกอีกจะเป็นอาการเริ่มต้น แต่ในส่วนวัยก่อนหมดประจำเดือน จะมีอาการประจำเดือนมาผิดปกติ มามากขึ้น หรือมาไม่เป็นรอบ ซึ่งมะเร็งชนิดนี้ไม่มีการตรวจคัดกรอง
  3. มะเร็งรังไข่ ค่อนข้างจะไม่มีอาการก่อนเริ่มเป็น ถ้ามีอาการก็ คือ เป็นมากแล้วในระยะ 3-4 อาการจะค่อนข้างกำกวมกับโรคทางเดินอาหาร เช่น บวมๆ ท้อง กินไม่ได้ รู้สึกท้องตึงหน่อยๆ รู้สึกขึ้นคลื่นไส้อาเจียน จะไม่มีอาการเลือดออกใดๆ ถ้าจะพบก็ คือ บังเอิญเจอจากการตรวจสุขภาพประจำปี หรือจากการอัลตราซาวด์ด้วยสาเหตุอื่นๆ จึงบังเอิญพบเนื้องอกรังไข่

การตรวจวินิจฉัย แต่ละชนิดตรวจอย่างไรบ้าง

โดยส่วนใหญ่ต้องได้ชิ้นเนื้อไม่ว่ามะเร็งอะไร

  1. มะเร็งปากมดลูก จะคัดกรองร่วมกับ การหาเชื้อ HPV (HPV DNA testing) หากสงสัยก็จะตัดชิ้นเนื้อนำไปวินิจฉัยต่อในห้องปฏิบัติการ
  2. มะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูก จะวินิจฉัยด้วยการดูด ขูด หรือส่องกล้องโพรงมดลูก เพื่อเอาชิ้นเนื้อไปวินิจฉัยต่อในห้องปฏิบัติการ
  3. มะเร็งรังไข่ จะตรวจตามการวัดค่าต่างๆ เช่น การตรวจเลือดเพื่อหาสารบ่งชี้มะเร็งร่วมกับการอัลตราซาวด์ ตรวจด้วยรังสีวินิจฉัยการส่องกล้องแลปพาโรสโคปเก็บตัวอย่างของเนื้องอกเพื่อนำไปวินิจฉัยทางพยาธิวิทยา โดยนำอายุ และค่าอื่นๆ มาคิดคำนวณค่าเป็นเปอร์เซ็นต์ หากค่ามากให้สงสัยว่าเป็นมะเร็ง และส่งพบแพทย์มะเร็ง

แนวทางการรักษามะเร็งทางนรีเวชแต่ละชนิด

การรักษามะเร็งทั้ง 3 ชนิด มีอยู่ 3 วิธีหลักๆ ดังนี้ การผ่าตัด การใช้รังสีรักษาหรือการฉายแสง และเคมีบำบัด รวมถึงการให้ยามุ่งเป้า ซึ่งรายละเอียดจะต่างกัน เช่น

  1. มะเร็งปากมดลูก ในระยะเริ่มแรกก่อนเป็นมะเร็ง จะใช้การตัดปากมดลูกออก (LEEP) ซึ่งมะเร็งปากมดลูกในระยะเริ่มต้นจะใช้การผ่าตัด เพราะมะเร็งปากมดลูกในระยะแรก เซลล์มะเร็งจำกัดอยู่เฉพาะที่ปากมดลูก ยังไม่แพร่ไปอวัยวะใกล้เคียง แต่เมื่อผู้ป่วยอยู่ระยะลุกลาม เซลล์มะเร็งแพร่ไปยังอวัยวะใกล้เคียงแล้ว เช่น ตัวมดลูก รังไข่ ต่อมน้ำเหลือง กระเพาะปัสสาวะ ท่อไต ลำไส้ใหญ่ ตลอดจนเยื่อบุช่องท้อง การรักษาในระยะนี้จะใช้รังสีรักษาเป็นหลัก อาจร่วมกับการให้เคมีบำบัดด้วย
  2. มะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูก จะรักษาด้วยการผ่าตัด จากนั้นจะใช้รังสีรักษาหรือการฉายแสง หากเป็นระยะลุกลามจะมีเคมีบำบัดร่วมด้วย ซึ่งอยู่ที่ดุลยพินิจของแพทย์
  3. มะเร็งรังไข่การรักษาด้วยวิธีการผ่าตัดจะเป็นวิธีหลักของมะเร็งรังไข่ด้วยการผ่าตัดมดลูก และรังไข่ทั้ง 2 ข้าง พร้อมทั้งเลาะต่อมน้ำเหลืองและเยื่อบุช่องท้องตามตำแหน่งที่มะเร็งมักแพร่กระจายไป หรือเอาก้อนมะเร็งออกให้มากที่สุด และผู้ป่วยส่วนใหญ่จะได้รับยาเคมีบำบัดเพื่อป้องกันการกลับมาเป็นซ้ำ

การป้องกันโรคมะเร็งทางนรีเวช

  1. มะเร็งปากมดลูกป้องกันได้โดยการหลีกเลี่ยงพฤติกรรมเสี่ยงต่าง ๆ เช่น มีเพศสัมพันธ์เร็ว มีคู่เพศสัมพันธ์หลายคน เป็นต้น การตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกสม่ำเสมอเพื่อตรวจหาเซลล์ผิดปกติ หรือรอยโรคมะเร็งก่อนที่จะเกิดเซลล์ลุกลาม นอกจากนี้ควรฉีดวัคซีนป้องกันมะเร็งปากมดลูกหรือวัคซีนเอชพีวี ได้ตั้งแต่อายุ 9 ปีขึ้นไป
  2. มะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูกสามารถลดโอกาสเกิดมะเร็งชนิดนี้ได้โดยการควบคุมน้ำหนักตัวให้อยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน เข้ารับการตรวจสุขภาพประจำปี รวมทั้งการเข้ารับคำปรึกษาจากแพทย์เฉพาะทางเมื่อเกิดความผิดปกติ เช่น ประจำเดือนขาดต่อเนื่อง มีประจำเดือนมาไม่ตรงรอบ หรือมีเลือดออกผิดปกติหลังเข้าสู่วัยหมดประจำเดือน เป็นต้น
  3. มะเร็งรังไข่เข้ารับการตรวจสุขภาพ รวมทั้งการตรวจภายในและพบสูตินรีแพทย์เป็นประจำทุกปี เพื่อลดความเสี่ยงของการเกิดมะเร็งรังไข่ โดยเฉพาะผู้ที่มีประวัติคนในครอบครัวหรือญาติสายตรงเป็นมะเร็งรังไข่ตั้งแต่อายุยังน้อย

อย่างไรก็ตามการรักษามะเร็งทางนรีเวชแต่ละชนิดนั้น ความสำเร็จจากการรักษาจะขึ้นอยู่กับระยะของโรคมะเร็ง ขนาดก้อนมะเร็ง สุขภาพของผู้ป่วย ซึ่งแพทย์จะพิจารณาการรักษาให้เหมาะสมกับผู้ป่วยในแต่ละราย ทั้งนี้หากคุณมีอาการผิดปกติดังกล่าว หรือสงสัยว่าตัวเองมีความเสี่ยงที่จะเป็นมะเร็ง ควรรีบมาพบแพทย์เพื่อเข้ารับคำแนะนำและการตรวจวินิจฉัยอย่างละเอียด เพราะหากตรวจพบได้เร็ว รักษาได้ทันท่วงที จะยิ่งเพิ่มโอกาสและประสิทธิภาพในการรักษามากยิ่งขึ้น

Categories
บทความ

ภาวะสมองเสื่อม อัลไซเมอร์ มีอาการแบบไหน รักษาได้หรือไม่

ภาวะสมองเสื่อม อัลไซเมอร์ มีอาการแบบไหน รักษาได้หรือไม่

หากผู้สูงอายุที่บ้านของคุณ มีพฤติกรรมและอารมณ์ที่เปลี่ยนไป มีอาการหลงลืม สับสนเรื่องเวลา สถานที่ ไม่สามารถรับรู้หรือเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ และใช้ภาษาผิดปกติ พฤติกรรมเหล่านี้ อาจเป็นสัญญาณเตือนที่สำคัญให้ระวังการเป็นโรคอัลไซเมอร์ โดยข้อแตกต่างสำคัญระหว่างผู้ที่มีอาการขี้ลืมหรือหลงลืมตามวัย กับการเริ่มเข้าสู่กลุ่มเสี่ยงเป็นโรคอัลไซเมอร์ มีข้อสังเกตที่ต้องใช้ความใส่ใจและวิเคราะห์อย่างใกล้ชิด

ความแตกต่างระหว่างหลงลืมตามวัยกับโรคอัลไซเมอร์

หากเป็นการหลงลืมตามวัยแบบทั่วไปแล้ว โดยปกติเมื่ออายุมากกว่า 60 ปี สมองของเรามักจะถดถอยตามวัย อาจมีการคิดช้า ใช้เวลาในการนึก ตัดสินใจแย่ลง อาจจะเริ่มมีหลงลืม เช่น หากุญแจไม่เจอ จำที่จอดรถไม่ได้ หรืออาจจะนึกชื่อเพื่อนที่ไม่ได้เจอกันนานๆ ไม่ออก แต่เมื่อมีการบอกใบ้ ก็จะสามารถดึงข้อมูลนั้นออกมาได้ ที่สำคัญ คือ ยังช่วยเหลือตัวเองในกิจวัตรประจำวันได้

หากมีอาการหลงลืมแบบเข้าข่ายโรคอัลไซเมอร์ มักจะจำไม่ได้เลยว่ามีเหตุการณ์นั้นๆ เกิดขึ้น นึกอย่างไรก็นึกไม่ออก หรือลืมแล้วลืมเลย ลืมแม้กระทั่งทักษาการใช้เครื่องมือในชีวิตประจำวัน หรืออาจจะถึงกับลืมชื่อคนในครอบครัว เช่น เปิดฝักบัวไม่เป็น ลืมวิธีกดรีโมท ซึ่งการเสื่อมของสมองจะค่อยเป็นค่อยไปและเป็นไปอย่างต่อเนื่อง ทำให้ส่งผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตประจำวัน

สาเหตุอาการอัลไซเมอร์

อาการของโรคสมองเสื่อมที่มีสาเหตุมาจากอัลไซเมอร์นั้น จะมีการดำเนินโรคอย่างช้าๆ แบบค่อยเป็นค่อยไป โดยอาการแรกเริ่มที่สำคัญของผู้ป่วยอัลไซเมอร์ คือ การสูญเสียความจำระยะสั้น ซึ่งเป็นอาการที่ใกล้เคียงกับภาวะความจำเสื่อมตามธรรมชาติในผู้สูงอายุ แต่เมื่อเวลาผ่านไปผู้ป่วยร้อยละ 80-90 จะมีอาการทางพฤติกรรมหรือทางจิตเวชร่วมด้วย ซึ่งอาการทางพฤติกรรมนี่เองที่ทำให้การดูแลผู้ป่วยเป็นไปอย่างยากลำบากมากขึ้น โดยเฉพาะรายที่มีอาการก้าวร้าว

อาการทั่วไปของโรคอัลไซเมอร์อาจแบ่งคร่าวๆ ได้เป็นสามระยะ ได้แก่

  • ระยะแรก ผู้ป่วยจะมีความจำถดถอยจนตัวเองรู้สึกได้ ชอบถามซ้ำ พูดซ้ำๆ เรื่องเดิม สับสนทิศทาง เริ่มเครียด อารมณ์เสียง่ายและซึมเศร้า
  • ระยะกลาง ผู้ป่วยมีอาการชัดเจนขึ้น ความจำแย่ลงอีก เดินออกจากบ้านไปโดยไม่มีจุดหมาย พฤติกรรมเปลี่ยนไปมาก เช่น จากที่เป็นคนใจเย็นก็กลายเป็นหงุดหงิดฉุนเฉียว ก้าวร้าว พูดจาหยาบคาย เป็นต้น
  • ระยะสุดท้าย ถือว่าเป็นระยะรุนแรง ผู้ป่วยจะตอบสนองต่อสิ่งรอบข้างน้อยลง สุขภาพทรุดโทรมลงคล้ายผู้ป่วยติดเตียง รับประทานได้น้อยลง การเคลื่อนไหวน้อยลงหรือไม่เคลื่อนไหวเลย ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ ปัสสาวะหรืออุจจาระเล็ด เนื่องจากกลั้นไม่อยู่ และสูญเสียความสามารถในการใช้ชีวิตประจำวัน ต้องพึ่งพาผู้อื่นในเรื่องง่ายๆ เช่น ป้อนข้าว อาบน้ำ เป็นต้น รวมทั้งภูมิคุ้มกันอ่อนแอเป็นสาเหตุให้เกิดโรคแทรกซ้อน ภาวะการติดเชื้อที่นำไปสู่การเสียชีวิตได้

เช็คลิสต์ความเสี่ยงหลงลืมแบบไหน กำลังเสี่ยงเป็นโรคอัลไซเมอร์

  • อาการหลงลืม เช่น หลงลืมสิ่งของ ลืมนัด จำเหตุการณ์หรือคำพูดที่เพิ่งผ่านมาไม่ได้ ลืมสิ่งใหม่ที่เพิ่งเกิดขึ้น ลืมวันสำคัญหรือเหตุการณ์สำคัญที่ผ่านมา
  • สับสนเรื่องเวลา สถานที่ ฤดูกาล กลับบ้านไม่ถูก หลงทิศทาง หรือไม่รู้ว่าจะไปสถานที่นั้นๆ ได้อย่างไร
  • จำบุคคลที่เคยรู้จัก เพื่อน หรือสมาชิกในครอบครัวไม่ได้ คิดว่าเป็นคนแปลกหน้า
  • มีปัญหาเรื่องการสื่อสาร หรือเรียกสิ่งของไม่ถูก พูดคำหรือประโยคซ้ำๆ
  • ไม่สนใจในสิ่งที่เคยสนใจ เช่น กิจกรรมประจำวัน งานอดิเรก
  • มีปัญหาเรื่องการนับหรือทอนเงิน การใช้โทรศัพท์ การดูนาฬิกา
  • มีพฤติกรรมที่อาจเกิดปัญหายุ่งยาก เช่น ออกนอกบ้านเวลากลางคืน พฤติกรรมก้าวร้าว
  • ไม่สนใจดูแลความสะอาดของตัวเอง เช่น แปรงฟันไม่เป็น อาบน้ำไม่เป็น
  • ซึมเศร้า ร้องไห้โดยไม่มีเหตุผล

โรคอัลไซเมอร์ ส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตผู้ป่วยและผู้ใกล้ชิดอย่างไร

โรคอัลไซเมอร์ ไม่เพียงแต่ทำให้ผู้ป่วยความจำถดถอยเท่านั้น ยังส่งผลต่อคุณภาพชีวิตในด้านต่างๆ ได้แก่

  • ด้านการเคลื่อนไหว สมองที่ควบคุมในส่วนความเคลื่อนไหว ควบคุมอวัยวะต่างๆ จะค่อยๆ เสื่อมลง เช่น การรับรู้ ทางหู ตา ประสาทสัมผัส การเดิน สมดุลของร่างกาย
  • ด้านภาษา ความสามารถในการสื่อสารจะด้อยลง ไม่สามารถสื่อสารเป็นประโยค นึกคำศัพท์ไม่ออก
  • ด้านสมาธิ และการให้ความสนใจในเรื่องต่างๆ ผู้ป่วยส่วนใหญ่จะมีสมาธิสั้น ไม่สามารถทำกิจกรรมได้นานๆ
  • ด้านการตีความ เกิดความสับสนในการตีความ เช่น การที่คนเดินเข้ามาใกล้ คิดว่าจะมาทำร้าย
  • ด้านการตัดสินใจ ขาดความสามารถในการตัดสินใจ ซึ่งจะส่งผลต่อกิจกรรมหลายอย่าง เช่น การขับรถ
  • ด้านความเข้าใจในนามธรรม เกิดความสับสนใจเรื่องของเวลา อดีต ปัจจุบัน ไม่สามารถเข้าใจคำพูดเปรียบเปรยได้

อีกทั้งยังส่งผลกระทบต่อผู้ใกล้ชิดที่จะต้องมาคอยดูแล อาจก่อให้เกิดความอ่อนล้า ความเครียด ความซึมเศร้า หงุดหงิด ต่อผู้ดูแลและอาจทำให้มีปัญหาทางสุขภาพทั้งทางร่างกายและจิตใจได้

ความแตกต่างระหว่าง โรคอัลไซเมอร์กับ สมองเสื่อม

หลายท่านสงสัยว่า โรคสมองเสื่อม กับ โรคอัลไซเมอร์ เหมือนกันหรือไม่ โดยมีความสับสนว่าโรคสมองเสื่อมและโรคอัลไซเมอร์ เป็นโรคเดียวกัน แต่ความจริงแล้วโรคสมองเสื่อมไม่ใช่โรคเดียวกับโรคอัลไซเมอร์ แต่โรคอัลไซเมอร์เป็นหนึ่งในสาเหตุหลักของการเกิดโรคสมองเสื่อม โดยผู้ที่เป็นโรคสมองเสื่อมที่มีสาเหตุจากอัลไซเมอร์ จะมีการดำเนินโรคอย่างช้าๆ ไม่เป็นที่สังเกต จนเมื่อผ่านไปราว 5-6 ปี ความผิดปกติต่าง ๆ จะแสดงออกมาชัดเจนขึ้น เช่น ไม่สามารถการอาบน้ำแต่งตัวได้เอง ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ และจะเป็นมากขึ้นตามระยะอาการ

สำหรับ โรคสมองเสื่อม (Dementia Syndrome) หรือ ภาวะสมองเสื่อม เป็นความถดถอยในการทำงานของสมองซึ่งเกิดจากการสูญเสียเซลล์สมองหลายส่วนซึ่งพบได้ในผู้สูงอายุ โดยเริ่มจากส่วนใดส่วนหนึ่งในการทำงานของสมองขั้นสูง 6 ด้าน คือ ด้านสมาธิ ด้านการคิด ตัดสินใจ และการวางแผน ด้านความจำ ด้านการใช้ภาษา ด้านมิติสัมพันธ์ ด้านการเข้าสังคม ถ้าหากการทำงานของสมอง 1 ใน 6 ด้าน อย่างใดอย่างหนึ่งสูญเสียการทำงานไปหรือเสียมากถึงระดับที่ส่งผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตของผู้ป่วย เราเรียกภาวะนี้ว่า “ภาวะสมองเสื่อม”

ประเภทของโรคสมองเสื่อม สามารถแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มใหญ่ๆ ตามสาเหตุ ได้แก่

  1. กลุ่มที่ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ เช่น โรคอัลไซเมอร์ เป็นสาเหตุหนึ่งของโรคสมองเสื่อมที่พบมากที่สุด
  2. กลุ่มที่รักษาให้ดีขึ้นได้ เช่น โรคสมองเสื่อมที่เกิดจากการทำงานของต่อมไทรอยด์ผิดปกติ หรือเกิดจากการมีน้ำคั่งในโพรงสมองมากกว่าปกติ หรือเกิดจากการมีเลือดออกในเยื่อหุ้มสมอง

จะรู้ได้อย่างไร อาการแบบไหนเป็นสมองเสื่อม?

กรณีผู้ป่วยมีอาการที่เข้าข่ายโรคอัลไซเมอร์มาระยะหนึ่ง หรือเป็นเวลาหลายปีติดต่อกัน อาจสงสัยว่าอาการที่เป็นอยู่ปัจจุบันเข้าข่ายภาวะสมองเสื่อมแล้วหรือไม่ สามารถตรวจสอบได้จากอาการเหล่านี้

  • ความเข้าใจภาษาลดลง ใช้ภาษาไม่ถูกต้อง เรียกชื่อสิ่งของไม่ถูก อาจหยุดพูดกลางคันและไม่รู้ว่าจะต้องพูดอะไรต่อ หรือพูดย้ำกับตัวเอง รวมถึงอาจพูดน้อยลง
  • สับสนเรื่องเวลาหรือสถานที่ อาจลืมว่าตอนนี้ตนอยู่ที่ใดและเดินทางมายังสถานที่นั้นได้อย่างไร
  • ไม่สามารถทำกิจกรรมที่เคยทำได้มาก่อน เช่น ลืมวิธีการเปลี่ยนช่องทีวี
  • บกพร่องในการรับรู้หรือเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ไม่ทราบว่าของสิ่งนี้มีไว้ทำอะไร หรือไม่สามารถแยกแยะรสชาติหรือกลิ่นได้
  • บกพร่องในการบริหารจัดการ และตัดสินใจแก้ไขปัญหา ไม่กล้าตัดสินใจหรือตัดสินใจผิดพลาดบ่อย ๆ
  • บกพร่องในการทำกิจวัตรประจำวัน เช่น อาบน้ำ แต่งตัว ไม่สามารถไปไหนตามลำพังได้
  • บุคลิกภาพเปลี่ยนแปลง เช่น ซึมเศร้า เฉื่อยชา โมโหฉุนเฉียวง่ายโดยไม่มีสาเหตุชัดเจน เห็นภาพหลอน หวาดระแวง

แพทย์วินิจฉัยและรักษาโรคอัลไซเมอร์อย่างไร

แพทย์จะมีการซักประวัติจากผู้ป่วย ญาติ หรือผู้ดูแลที่สามารถให้ข้อมูลที่สำคัญเกี่ยวกับความสามารถในชีวิตประจำวัน และพฤติกรรมที่บ่งบอกถึงความถดถอยด้านการทำงานของสมอง จากนั้นจะเริ่มการทดสอบทางสมอง เพื่อวัดสมรรถภาพการทำงานประเมินความบกพร่องในการรับรู้เพื่อใช้วินิจฉัยโรค เช่น ให้ทำแบบทดสอบกระดาษหน้าเดียวที่มีคำถามเกี่ยวกับความรู้ทั่วไป ทักษะสมอง คิดเลข ร่วมกับการตรวจร่างกายและเลือกการส่งตรวจทางห้องปฏิบัติการที่เหมาะสม เพื่อให้การวินิจฉัยแยกโรคที่ถูกต้องว่าผู้ป่วยเป็นโรคสมองเสื่อมหรือไม่ และมีสาเหตุจากอะไร โดยการตรวจในห้องปฏิบัติการจะประกอบไปด้วย การตรวจเลือดต่างๆ การตรวจภาพสมองด้วยเครื่อง Computed Tomography (CT) หรือ Magnetic Resonance Imaging (MRI)

ในด้านของการรักษานั้นขึ้นอยู่กับสาเหตุเป็นหลัก โดยผู้ป่วยที่ภาวะสมองเสื่อมเกิดจากความเสื่อมของเซลล์ประสาทหรือเกิดจากโรคอัลไซเมอร์นั้น การรักษาจะประกอบด้วยการให้ยาที่ทำให้อาการของผู้ป่วยดีขึ้นและชะลอการดำเนินโรคให้ช้าลง ซึ่งมักจะได้ผลกับผู้ป่วยในระยะเริ่มแรก ร่วมกับการให้ยารักษาอารมณ์และพฤติกรรมที่ผิดปกติในผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรง การรักษาด้วยเครื่องกระตุ้นสมองด้วยกระแสไฟฟ้าอย่างอ่อนเพิ่มความจำและความสามารถของสมอง เป็นต้น ส่วนผู้ป่วยที่มีภาวะสมองเสื่อมเกิดจากสาเหตุอื่นๆ ที่ไม่ได้เกิดจากความเสื่อมของเซลล์ประสาทนั้น จะเป็นการรักษาสาเหตุของโรคเป็นหลัก

ข้อปฏิบัติตัวของผู้ดูแลผู้ป่วยอัลไซเมอร์

การมีคนในครอบครัวป่วยเป็นโรคอัลไซเมอร์ เป็นเรื่องใหญ่ ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยในการดูแลผู้ป่วย ผู้ดูแลจำเป็นต้องมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับโรค อาการและอาการแสดง พฤติกรรมต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับผู้ป่วย รวมทั้งผลกระทบที่เกิดขึ้น และการดูแลที่เป็นพิเศษ เพื่อให้ผู้ป่วยได้รับการดูแลอย่างเหมาะสม โดยขั้นตอนแรกให้วางแผนการดูแลผู้ป่วยร่วมกับแพทย์และผู้เชี่ยวชาญด้านการดูแลผู้สูงอายุในระยะยาว เพื่อให้แน่ใจว่าผู้ป่วยจะได้รับการดูแลที่ถูกต้องเมื่ออยู่ที่บ้าน สิ่งใดก่อให้เกิดอารมณ์หรือความไม่พอใจแก่ผู้ป่วย ควรหาสาเหตุแก้ไขหรือหลีกเลี่ยง จะช่วยลดความเครียดแก่ผู้ป่วย กระตุ้นให้ผู้ป่วยดูแลตนเองให้ได้มากที่สุด โดยเฉพาะในเรื่องการทำกิจวัตรประจำวัน เช่น การทำความสะอาดร่างกาย การอาบน้ำ จัดเตรียมอุปกรณ์ตามลำดับก่อนหลัง กำหนดเวลาอาบน้ำ การเข้าห้องน้ำ ให้สอดคล้องกับชีวิตประจำวันที่เคยทำ เป็นต้น

ผู้ดูแลควรส่งเสริมให้ผู้ป่วยทำกิจกรรมร่วมกับครอบครัว พาออกไปเที่ยวนอกบ้านเป็นครั้งคราว หรือไปพบปะเพื่อน พร้อมดูแลช่วยเหลือให้ผู้ป่วยได้ออกกำลังกายตามสมควร และเพื่อให้การรักษาได้ผลดียิ่งขึ้น ผู้ดูแลควรสังเกตอาการที่ผิดปกติของผู้ป่วย บันทึกพฤติกรรม และแจ้งให้แพทย์ทราบเมื่อถึงเวลานัดตรวจโรค ดูแลเรื่องการทานยาให้ครบและสม่ำเสมอตามที่แพทย์สั่ง หากผู้ป่วยมีอาการผิดปกติควรรีบปรึกษาแพทย์ เช่น อาการนอนไม่หลับ วิตกกังวล หรือซึมเศร้ามากเกินไป พฤติกรรมเปลี่ยนแปลง ก้าวร้าว หลงผิด เป็นต้น

อย่างไรก็ตาม ไม่มีใครอยากเป็นโรคอัลไซเมอร์จึงควรดูแลตัวเองด้วยวิธีง่าย ๆ คือหมั่นบริหารสมอง เช่น อ่านหนังสือเป็นประจำ ดูแลสุขภาพจิตให้ดี และสำหรับผู้ที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป หรือผู้สูงอายุที่บ้านมีสัญญาณอาการดังกล่าว หรือข้อใดข้อหนึ่ง ควรเริ่มตรวจวินิจฉัยโรคอัลไซเมอร์ เพราะโรคนี้หากรู้เร็ว รักษาทัน ป้องกันภาวะอัลไซเมอร์ด้วยการปรึกษาแพทย์เฉพาะทางด้านสมอง

Categories
บทความ

อย่าชะล่าใจ! แค่น้ำเข้าหูอาจเสี่ยงเป็นหูชั้นนอกอักเสบได้

อย่าชะล่าใจ! แค่น้ำเข้าหูอาจเสี่ยงเป็นหูชั้นนอกอักเสบได้

เชื่อว่าหลายคนคงเคยประสบปัญหาน้ำเข้าหูมาแล้ว ซึ่งอาจเกิดระหว่างการว่ายน้ำ อาบน้ำหรือสระผม ทำให้เกิดอาการหูอื้อ รู้สึกเหมือนมีเสียงน้ำอยู่ในหู บางครั้งทำให้การได้ยินลดลงจนเกิดความรำคาญ ในขณะที่หลายคนพยายามจะเอาน้ำออกจากหูด้วยวิธีต่างๆ เช่น ตะแคงหัวแล้วตบที่หู การเอียงหูแล้วกระโดดโยกหัวแรงๆ รวมไปถึงการเอาน้ำหยอดลงในหูอีกครั้งให้เต็มโดยให้ไหลออกมาเอง หรือบางคนใช้ไม้แคะหู ปั่นหู เพื่อเอาน้ำออกจนเกิดแผลถลอกและเกิดการติดเชื้อแบคทีเรีย ซึ่งก่อให้เกิดการอักเสบตามมาได้ แต่รู้หรือไม่ว่าการว่ายน้ำก็อาจทำให้เกิดภาวะหูชั้นนอกอักเสบ หรือที่เรียกว่า “Swimmer Ear” ได้ด้วยเช่นกัน

สาเหตุของหูชั้นนอกอักเสบ

โดยปกติในสรีระร่างกายทางธรรมชาติ รูหูส่วนนอกมีหน้าที่ป้องกันไม่ให้เชื้อโรคต่างๆ และสิ่งแปลกปลอมผ่านเข้าไปได้ แต่ก็มีปัจจัยหลายๆ สาเหตุที่ทำให้การป้องกันนี้เสื่อมสภาพลงไปและเกิดอันตรายต่อหูชั้นนอกตามมาได้ นั่นก็คือ

  1. ความเครียดทางอารมณ์ เมื่อเครียดมากเราอาจแสดงออกโดยการใช้นิ้วมือหรือวัตถุอื่นเขี่ยในหู ซึ่งอาจทำให้เกิดรอยถลอก และเกิดการอักเสบตามมาจากการถลอกหรือรอยแผลนั้น
  2. การแคะหู หรือ เขี่ยขี้หูออก ซึ่งเป็นความเข้าใจของหลายๆ คนว่า ขี้หูเป็นสิ่งสกปรก ต้องทำให้หมดไป จึงทำให้ไขมันที่ทำหน้าที่ให้ความชุ่มชื้นกับผิวหนังรูหูที่เคลือบอยู่หลุดออกไป และการแคะหูบ่อยๆ อาจนำมาซึ่งการอักเสบได้
  3. ความร้อนและความชื้น สภาวะอากาศและอุณหภูมิสูงขึ้น ทำให้เชื้อโรคต่างๆ เจริญเติบโตได้ดีมากขึ้น
  4. ผู้ที่มีรูหูแคบและขี้หูมาก เมื่อน้ำเข้าหูก็ไม่สามารถระบายออกมาได้ ต้องเช็ดหรือแคะหู ซึ่งทำให้เกิดการอักเสบ
  5. การว่ายน้ำ ดำน้ำ ทำให้ขี้หูถูกละลายออกไป เกิดภาวะเป็นด่างในรูหู เชื้อโรคจึงสามารถเจริญเติบโตได้ดี
  6. โรคทางระบบอื่นๆ เช่น โรคของระบบต่อมไร้ท่อ โรคเลือด โรคขาดวิตามิน โรคผิวหนังบางชนิด ภูมิแพ้ผิวหนัง ผิวหนังอักเสบจากการสัมผัส แพ้เครื่องช่วยฟัง แพ้น้ำยาจากการล้างชิ้นส่วนของแว่นตา ซึ่งทำให้เกิดการระคายเคืองและการอักเสบของรูหูส่วนนอกได้

หูชั้นนอกอักเสบมีอาการอย่างไร

อาการของหูชั้นนอกอักเสบติดเชื้อ ได้แก่

  • คันในรูหู ปวดหู หูอื้อ
  • ความสามารถในการได้ยินลดลง
  • มีน้ำหรือน้ำเหลืองไหลออกจากหู
  • เมื่อใช้เครื่องมือส่องดูในช่องหู ทำให้มองเห็นแก้วหูไม่ชัด มีช่องหูแดง
  • ในบางรายอาจมีไข้ร่วมด้วยได้ เนื่องจากติดเชื้อเป็นฝีหนอง
  • กดแล้วมีอาการเจ็บบริเวณหน้าใบหู โยกใบหูแล้วเจ็บมากขึ้น

ทำอย่างไรเมื่อน้ำเข้าหู

โดยปกติช่องหูชั้นนอกจะเป็นรูปตัวเอส (S) ฉะนั้นเมื่อมีน้ำเข้าหู ควรปฏิบัติดังนี้

  1. เอียงศีรษะ เอาหูข้างที่น้ำเข้าลงต่ำและดึงใบหูให้กางออก
  2. ดึงใบหูขึ้นบนและไปทางด้านหลังเพื่อทำให้ช่องหูอยู่ในแนวตรง จะทำให้น้ำสามารถไหลออกมาได้ง่าย
  3. ไม่ควรปั่นหรือแคะหูเพราะจะทำให้หูอักเสบ
  4. หากปฏิบัติด้วยวิธีดังกล่าวเบื้องต้นแล้วน้ำยังไม่ออกจากช่องหูแนะนำพบแพทย์หู คอ จมูก

การตรวจน้ำเข้าหูและหูชั้นนอกอักเสบรักษาอย่างไร

ในการตรวจและการดูแลรักษา เบื้องต้นแพทย์จะส่องตรวจหูด้วยเครื่องมือประเมินการบวมอักเสบของช่องหูว่ามีอาการบวมมากน้อยเพียงใด โดยมีขั้นตอนการรักษาดังนี้

  1. ถ้าพบว่าหูมีอาการบวมมาก แพทย์จะใช้ผ้าก๊อซเล็กๆ (Ear wick) ชุบยาหยอดหูไว้ที่หูชั้นนอกร่วมกับให้ยาหยอดหู เช่น Sofradex ในรายที่หูชั้นนอกอักเสบเฉพาะที่ เพื่อให้ยาซึมเข้าไปในช่องหูด้านในได้ดีขึ้น และนัดเปลี่ยน Ear wick ประมาณ 2 – 3 วัน
  2. ยารับประทาน ได้แก่ ยาแก้อักเสบหรือยาปฏิชีวนะกลุ่ม Penicillin เช่น Cloxacillin (กรณีผู้ป่วยแพ้ยา Penicillin อาจพิจารณาเลือกใช้ยา Clindamycin แทน) เพื่อครอบคลุมเชื้อแบคทีเรียที่ก่อโรค ส่วนใหญ่ คือ Staphylococcus aureus แต่ถ้าผู้ป่วยมีโรคประจำตัวเรื้อรัง เช่น โรคเบาหวานหรือมีหูชั้นนอกอักเสบแบบทั่ว ๆ อาจใช้ยาเป็นกลุ่ม Quinolone เช่น Ciprofloxacin เพื่อครอบคลุมเชื้อ Pseudomonas aeruginosa เป็นต้น
  3. ยาอื่นๆ มักใช้เพื่อบรรเทาอาการต่างๆ เช่น อาการปวด ใช้ยาพาราเซตามอล (Paracetamol) ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับอาการ ความรุนแรงของอาการและดุลพินิจของแพทย์หู คอ จมูก
  4. แพทย์อาจจะนัดตรวจติดตามอาการทุก 2 – 3 วัน ตามความรุนแรงของอาการและตามดุลพินิจของแพทย์หู คอ จมูก จนกระทั่งอาการหายเป็นปกติ ซึ่งผู้ป่วยส่วนใหญ่อาการจะดีขึ้นภายใน 7 – 14 วัน

วิธีป้องกันหูชั้นนอกอักเสบ

ควรจะหลีกเลี่ยงจากสิ่งก่อภูมิแพ้ทันทีบางครั้งอาจจะต้องใช้น้ำสะอาดล้างตาอาจจะใช้น้ำตาเทียมซึ่งจะช่วยชะล้างสารก่อภูมิแพ้ใช้ผ้าเย็นปิดตา หลีกเลี่ยงการขยี้ตา เพราะจะทำให้เกิดการอักเสบที่รุนแรงมากขึ้น และยิ่งทำให้เกิดอาการคันมากขึ้น เพื่อลดอาการบวมอาจจะซื้อยาแก้แพ้รับประทาน หากดูแลตัวเองแล้วยังไม่ดีขึ้นควรไปพบแพทย์ทันทีเมื่อเกิดอาการต่อไปนี้

  • เมื่อน้ำเข้าหู ให้เอียงศีรษะข้างที่น้ำเข้าหูลงต่ำ ดึงใบหูกางออกไปทางด้านหลัง จะทำให้น้ำสามารถไหลออกมาได้
  • ทุกครั้งที่ว่ายน้ำ ควรใช้วัสดุอุดรูหู (Earplug)
  • ใช้หมวกคลุมผม คลุมปิดใบหูทุกครั้งเวลาอาบน้ำ
  • ไม่ควรล้างหูด้วยสบู่ หรือยาฆ่าเชื้อบ่อยๆ
  • ไม่ซื้อยาหยอดหู มาใช้เอง
  • เมื่อมีอาการคันหูมากๆ ใช้วิธีดึงขยับใบหูเบาๆ ไม่ควรแคะหรือปั่นหู
  • หากมีอาการคันหูมาก หูอื้อ และเป็นบ่อยครั้ง หรือมีอาการหูอักเสบเกิดขึ้น ควรรีบพบแพทย์

ทั้งนี้เมื่อรักษาหูชั้นนอกอักเสบจนหายเป็นปกติแล้ว ผู้ป่วยสามารถกลับไปว่ายน้ำได้ตามปกติ แต่แนะนำให้ระวังอย่าให้น้ำเข้าหู และห้ามปั่นหู เนื่องจากมีโอกาสที่หูชั้นนอกจะกลับมาอักเสบได้อีก