Categories
บทความ

ทำความรู้จักกับโรค NCDs : ประเภทและสาเหตุ

ทำความรู้จักกับโรค NCDs : ประเภทและสาเหตุ

โรค NCDs (Non-Communicable Diseases) หรือ โรคไม่ติดต่อ คือโรคที่ไม่สามารถแพร่กระจายจากคนสู่คนและไม่เกี่ยวข้องกับเชื้อโรคหรือไวรัส โรคเหล่านี้ส่วนใหญ่เกิดจากปัจจัยเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับวิถีชีวิต เช่น การบริโภคอาหารที่ไม่เหมาะสม การขาดการออกกำลังกาย หรือการบริโภคสารเสพติด เช่น บุหรี่และแอลกอฮอล์ ซึ่งมักเป็นโรคที่เกิดขึ้นในระยะยาวและสามารถส่งผลต่อคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยได้มาก

ในบทความนี้ เราจะพาทุกคนไปทำความรู้จักกับ โรค NCDs, ประเภทต่างๆ ของโรค, และ สาเหตุหลัก ที่ทำให้เกิดโรคเหล่านี้ ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญที่ทุกคนควรเข้าใจเพื่อป้องกันและดูแลสุขภาพให้ดีขึ้น


1. ประเภทของโรค NCDs

โรค NCDs สามารถแบ่งออกเป็นหลายประเภท แต่ละประเภทมีลักษณะและผลกระทบที่แตกต่างกันออกไป ต่อไปนี้คือประเภทหลักๆ ของโรค NCDs:

1.1 โรคหัวใจและหลอดเลือด (Cardiovascular Diseases – CVDs)

โรคหัวใจและหลอดเลือดเป็นกลุ่มโรคที่เกี่ยวข้องกับการทำงานของหัวใจและหลอดเลือด ซึ่งรวมถึง โรคหลอดเลือดหัวใจตีบ (เช่น หัวใจขาดเลือด), โรคหลอดเลือดสมอง (เช่น โรคเส้นเลือดสมองแตก) และ โรคความดันโลหิตสูง (Hypertension)

  • สาเหตุ: การมี ไขมันในเลือดสูง, การ สูบบุหรี่, การ ขาดการออกกำลังกาย, การ บริโภคอาหารที่มีโซเดียมสูง, และ ความเครียด เป็นปัจจัยเสี่ยงหลัก

1.2 โรคเบาหวาน (Diabetes)

โรคเบาหวานเป็นโรคที่เกี่ยวข้องกับการผลิต อินซูลิน ที่ไม่เพียงพอหรือความไม่สามารถของร่างกายในการใช้ อินซูลิน ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งจะทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงเกินไป

  • สาเหตุ: ปัจจัยเสี่ยงหลักของโรคเบาหวานประเภทที่ 2 ได้แก่ การขาดการออกกำลังกาย, การรับประทานอาหารที่มีน้ำตาลสูง, การ มีน้ำหนักตัวเกิน, และ พันธุกรรม

1.3 โรคมะเร็ง (Cancer)

มะเร็งคือการเจริญเติบโตผิดปกติของเซลล์ในร่างกาย ซึ่งสามารถเกิดขึ้นในทุกส่วนของร่างกาย โดยส่วนใหญ่เกิดจากปัจจัยเสี่ยงต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับวิถีชีวิต

  • สาเหตุ: ปัจจัยเสี่ยงของมะเร็งประกอบด้วยการ สูบบุหรี่, การดื่มแอลกอฮอล์, การ บริโภคอาหารที่มีสารเคมี, การ สัมผัสกับสารก่อมะเร็ง (เช่น ควันบุหรี่) และ การขาดการออกกำลังกาย

1.4 โรคทางเดินหายใจเรื้อรัง (Chronic Respiratory Diseases)

โรคทางเดินหายใจเรื้อรังเป็นโรคที่เกี่ยวข้องกับการทำงานของปอดและทางเดินหายใจ ซึ่งรวมถึง โรคหืด (Asthma), โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง (COPD), และ โรคปอดจากการสูบบุหรี่

  • สาเหตุ: ปัจจัยเสี่ยงรวมถึงการ สูบบุหรี่, การ สัมผัสมลพิษจากอากาศ, การ ทำงานในที่มีมลพิษ และการ สัมผัสสารเคมี

1.5 โรคทางจิตเวช (Mental Health Disorders)

โรคทางจิตเวชเช่น โรคซึมเศร้า, โรควิตกกังวล, และ โรคซึมเศร้าเรื้อรัง สามารถจัดอยู่ในกลุ่ม NCDs ได้ เนื่องจากการขาดการดูแลทางจิตใจอาจทำให้เกิดผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตและร่างกาย

  • สาเหตุ: ปัจจัยเสี่ยงในโรคทางจิตเวชรวมถึง ความเครียด, การสูญเสียบุคคลใกล้ชิด, การ ใช้สารเสพติด, การ ขาดการสนับสนุนทางสังคม และปัญหาทางพันธุกรรม


2. สาเหตุหลักของการเกิดโรค NCDs

การเกิดโรค NCDs ส่วนใหญ่เกิดจากการใช้ชีวิตที่มีความเสี่ยงสูงหรือการไม่ดูแลสุขภาพอย่างเพียงพอ ต่อไปนี้คือสาเหตุหลักที่ทำให้เกิดโรคเหล่านี้:

2.1 การขาดการออกกำลังกาย

การไม่ออกกำลังกายเป็นปัจจัยเสี่ยงหลักสำหรับโรค NCDs หลายชนิด รวมถึงโรคหัวใจ, เบาหวาน, และโรคทางเดินหายใจ การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอสามารถช่วยลดความเสี่ยงจากโรคเหล่านี้ได้

  • วิธีการป้องกัน: การออกกำลังกายอย่างน้อย 150 นาทีต่อสัปดาห์จะช่วยลดความเสี่ยงจากโรค NCDs ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

2.2 การรับประทานอาหารไม่สมดุล

การรับประทานอาหารที่มี ไขมันสูง, น้ำตาลมากเกินไป, และ โซเดียมสูง เป็นปัจจัยเสี่ยงหลักที่ทำให้เกิดโรค NCDs เช่น โรคเบาหวาน, โรคหัวใจ และโรคมะเร็ง

  • วิธีการป้องกัน: ควรรับประทานอาหารที่มี ผัก และ ผลไม้ ให้มากขึ้น, เลือก โปรตีนจากพืช และ ไขมันไม่อิ่มตัว และหลีกเลี่ยงอาหารที่มีน้ำตาลและไขมันสูง

2.3 การสูบบุหรี่และการดื่มแอลกอฮอล์

การ สูบบุหรี่ และการ ดื่มแอลกอฮอล์ เป็นปัจจัยเสี่ยงหลักสำหรับหลายโรค NCDs เช่น มะเร็ง, โรคหัวใจ, และโรคปอด การหลีกเลี่ยงพฤติกรรมเหล่านี้จะช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรค

  • วิธีการป้องกัน: หยุดการสูบบุหรี่และลดการดื่มแอลกอฮอล์ เพื่อสุขภาพที่ดีในระยะยาว

2.4 ความเครียดและสุขภาพจิต

ความเครียดเรื้อรังสามารถมีผลกระทบต่อสุขภาพร่างกายและจิตใจ โดยเฉพาะในเรื่องของ โรคหัวใจ, โรคเบาหวาน และ โรคซึมเศร้า การจัดการกับความเครียดเป็นสิ่งสำคัญในการป้องกันโรคเหล่านี้

  • วิธีการป้องกัน: การฝึกฝนการ ทำสมาธิ, การ หายใจลึก หรือการ ออกกำลังกาย เพื่อช่วยลดความเครียด


3. การป้องกันโรค NCDs

การป้องกันโรค NCDs สามารถทำได้ด้วยการปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตให้ดีขึ้น ซึ่งรวมถึงการดูแลสุขภาพร่างกายและจิตใจอย่างสม่ำเสมอ การทำสิ่งเหล่านี้จะช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรค NCDs ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

  • การออกกำลังกาย: ออกกำลังกายอย่างน้อย 150 นาทีต่อสัปดาห์

  • การรับประทานอาหารที่สมดุล: ทานผักและผลไม้ให้มากขึ้น ลดอาหารที่มีไขมันและน้ำตาล

  • การไม่สูบบุหรี่และลดการดื่มแอลกอฮอล์

  • การจัดการกับความเครียด: ฝึกทำสมาธิหรือกิจกรรมที่ช่วยผ่อนคลาย


สรุป

โรค NCDs หรือโรคไม่ติดต่อ เป็นกลุ่มโรคที่มีความสัมพันธ์กับการใช้ชีวิตที่ไม่เหมาะสม เช่น การขาดการออกกำลังกาย, การรับประทานอาหารที่ไม่สมดุล, การสูบบุหรี่ และความเครียด การป้องกันโรค NCDs จึงต้องเริ่มต้นจากการปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตให้เหมาะสม และดูแลสุขภาพทั้งด้านกายและจิตใจ เพื่อสุขภาพที่ดีในระยะยาว.

 
 
 
Categories
บทความ

ความสำคัญของ NCDs ในประเทศไทย

ความสำคัญของ NCDs ในประเทศไทย

โรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (Non-Communicable Diseases: NCDs) คือกลุ่มโรคที่ไม่สามารถแพร่กระจายจากคนสู่คน แต่กลับส่งผลกระทบที่สำคัญต่อสุขภาพและเศรษฐกิจของประเทศ โดยเฉพาะในประเทศไทย ซึ่งเป็นหนึ่งในประเทศที่มีอัตราการเกิดโรค NCDs สูงและมีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากวิถีชีวิตและปัจจัยเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับพฤติกรรมสุขภาพ

1. สถานการณ์ของ NCDs ในประเทศไทย

โรค NCDs เป็นสาเหตุหลักของการเสียชีวิตในประเทศไทย โดยเฉพาะโรคที่เกี่ยวข้องกับพฤติกรรม เช่น โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคเบาหวาน และโรคมะเร็ง ซึ่งเป็นกลุ่มโรคที่พบได้บ่อยที่สุดในประเทศ การเสียชีวิตจากโรคเหล่านี้ทำให้ประชากรไทยสูญเสียชีวิตจากโรค NCDs ประมาณปีละ 400,000 ราย หรือคิดเป็นร้อยละ 81 ของการเสียชีวิตทั้งหมดในประเทศ ทำให้กลุ่มโรค NCDs เป็นสาเหตุหลักที่ส่งผลกระทบต่อประชากรและสังคม

การเจ็บป่วยและการเสียชีวิตจากโรค NCDs ก่อให้เกิดความสูญเสียทางเศรษฐกิจที่มหาศาล โดยผลกระทบทางเศรษฐกิจจากโรคเหล่านี้ทำให้ประเทศไทยสูญเสียทางเศรษฐกิจหลายล้านบาทในแต่ละปี ซึ่งเป็นภาระทางเศรษฐกิจที่ใหญ่และมีผลกระทบในระยะยาว

2. กลุ่มโรค NCDs ที่สำคัญ

กลุ่มโรคที่อยู่ในหมวด NCDs ที่พบได้มากในประเทศไทย ได้แก่:

  • โรคหัวใจและหลอดเลือด: โรคเหล่านี้เช่น โรคหลอดเลือดหัวใจ โรคหลอดเลือดสมอง และโรคความดันโลหิตสูง เป็นสาเหตุสำคัญของการเสียชีวิตในประเทศไทย

  • โรคเบาหวาน: โรคนี้มีจำนวนผู้ป่วยประมาณ 4.8 ล้านคน และคาดว่าจะเพิ่มขึ้นในปีต่อๆ ไป ซึ่งส่งผลต่อคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยและการรักษาที่ยาวนาน

  • โรคมะเร็ง: โรคมะเร็งถือเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับสองในประเทศไทย โดยผู้ป่วยมักได้รับการวินิจฉัยในระยะที่ล่าช้า ซึ่งมีผลกระทบทั้งในด้านสุขภาพและค่าใช้จ่ายในการรักษา

  • โรคทางเดินหายใจเรื้อรัง: โรคเหล่านี้เช่น โรคปอดอุดกั้นเรื้อรังและโรคถุงลมโป่งพอง เป็นโรคที่ส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตและความสามารถในการดำเนินชีวิตประจำวัน

3. ปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญ

หลายปัจจัยเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับพฤติกรรมและการดำเนินชีวิตทำให้เกิดโรค NCDs ได้แก่:

  • พฤติกรรมการบริโภคอาหาร: การรับประทานอาหารที่มีรสหวาน มัน เค็ม และอาหารแปรรูปทำให้เสี่ยงต่อการเกิดโรคต่างๆ เช่น โรคหัวใจ โรคเบาหวาน

  • การขาดกิจกรรมทางกาย: การไม่ออกกำลังกายหรือมีกิจกรรมทางกายน้อยทำให้ร่างกายขาดความแข็งแรงและเสี่ยงต่อการเกิดโรค

  • การบริโภคยาสูบและเครื่องดื่มแอลกอฮอล์: การสูบบุหรี่และดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มีส่วนทำให้เกิดโรค NCDs และมีผลกระทบต่อระบบต่างๆ ของร่างกาย

  • ภาวะความเครียดและการนอนหลับไม่เพียงพอ: ความเครียดเรื้อรังและการนอนหลับไม่เพียงพอเป็นปัจจัยที่ส่งผลเสียต่อสุขภาพโดยรวม และสามารถกระตุ้นให้เกิดโรคเรื้อรังได้

4. แนวทางการป้องกันและควบคุม

การป้องกันและควบคุมโรค NCDs จำเป็นต้องทำผ่านการปรับพฤติกรรมสุขภาพที่ดี โดยเฉพาะการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการกินและการออกกำลังกาย:

  • การปรับพฤติกรรมสุขภาพ: การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ หลีกเลี่ยงการบริโภคอาหารที่มีรสหวาน มัน เค็ม และอาหารแปรรูปเป็นสิ่งสำคัญในการป้องกันโรค

  • การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ: การมีการเคลื่อนไหวร่างกายอย่างน้อย 30 นาทีต่อวัน จะช่วยเสริมสร้างสุขภาพที่ดี

  • การเลิกสูบบุหรี่และลดการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์: การหลีกเลี่ยงการใช้สารเสพติดทั้งสองชนิดนี้เป็นวิธีสำคัญในการลดความเสี่ยงจากโรค NCDs

  • การตรวจสุขภาพประจำปี: การตรวจสุขภาพเป็นประจำจะช่วยให้สามารถตรวจพบโรคตั้งแต่ระยะแรกและเริ่มการรักษาได้อย่างทันท่วงที

  • การสร้างความตระหนักรู้: การให้ความรู้เกี่ยวกับโรค NCDs และการป้องกันโรคแก่ประชาชนเป็นอีกหนึ่งวิธีที่สำคัญในการลดปัจจัยเสี่ยงและเพิ่มโอกาสในการป้องกันโรค

5. บทสรุป

โรค NCDs เป็นปัญหาสุขภาพที่สำคัญในประเทศไทย ที่มีผลกระทบทั้งด้านสุขภาพและเศรษฐกิจ โรคเหล่านี้ไม่ได้เป็นเพียงแค่ปัญหาส่วนบุคคลเท่านั้น แต่ยังส่งผลกระทบต่อสังคมและประเทศในภาพรวม การป้องกันและควบคุมโรค NCDs จึงต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็นภาครัฐ ภาคเอกชน และประชาชน เพื่อร่วมกันสร้างสังคมที่มีสุขภาพดีและยั่งยืนในอนาคต

Categories
บทความ

การรับมือกับโรค NCDs ในช่วงโควิด : ป้องกันและดูแลตัวเองอย่างไรให้ปลอดภัย?

การรับมือกับโรค NCDs ในช่วงโควิด: ป้องกันและดูแลตัวเองอย่างไรให้ปลอดภัย?

ในช่วงการระบาดของโควิด-19 ผู้ที่มี โรค NCDs (Non-Communicable Diseases) หรือโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง เช่น โรคเบาหวาน โรคหัวใจ โรคหลอดเลือดสมอง โรคอ้วน และโรคทางเดินหายใจเรื้อรัง ถือว่าเป็นกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูงจากการติดเชื้อโควิด-19
การดูแลตัวเองให้ปลอดภัยจากทั้งโรค NCDs และโควิด-19 จึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง

บทความนี้จะช่วยให้คุณเข้าใจถึงวิธีการ ป้องกันและดูแลตัวเอง สำหรับผู้ที่มีโรค NCDs ในช่วงโควิด-19 พร้อมแนวทางการปรับปรุงสุขภาพเพื่อให้รับมือกับทั้งโรค NCDs และโควิดได้อย่างมีประสิทธิภาพ


1. ความเสี่ยงของผู้ป่วยโรค NCDs ในช่วงโควิด-19

ผู้ป่วยที่มีโรค NCDs มักมีระบบภูมิคุ้มกันที่อ่อนแอลง ซึ่งทำให้เสี่ยงต่อการติดเชื้อโควิด-19 มากขึ้น
โรคที่พบมากในกลุ่มนี้ ได้แก่:

  • โรคเบาหวาน: อาจส่งผลให้ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ และเพิ่มความเสี่ยงในการติดเชื้อ

  • โรคหัวใจและหลอดเลือด: เพิ่มความเสี่ยงจากการเกิดภาวะแทรกซ้อนเมื่อมีการติดเชื้อโควิด-19

  • โรคอ้วน: ภาวะอ้วนเป็นปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้การตอบสนองของร่างกายต่อการติดเชื้อแย่ลง

ผู้ที่มีโรคเหล่านี้จึงควรให้ความสำคัญในการ ป้องกันตัวเองจากโควิด-19 มากกว่าคนทั่วไป


2. การป้องกันตัวเองจากโควิด-19 สำหรับผู้ป่วยโรค NCDs

🧴 1. สวมหน้ากากอนามัยตลอดเวลา

การสวมหน้ากากอนามัยเป็นสิ่งสำคัญในการป้องกันการติดเชื้อจากการสัมผัสหรือสูดดมละอองน้ำมูกหรือเสมหะจากผู้อื่น
ควรสวมหน้ากากทุกครั้งที่ออกจากบ้าน และในที่สาธารณะ เช่น ร้านค้า หรือที่ทำงาน

🧼 2. ล้างมือบ่อยๆ

ล้างมือให้สะอาดด้วยสบู่และน้ำ หรือเจลแอลกอฮอล์อย่างน้อย 20 วินาที โดยเฉพาะหลังจากสัมผัสสิ่งของหรือสถานที่สาธารณะ
การล้างมือบ่อย ๆ ช่วยลดโอกาสในการติดเชื้อจากการสัมผัสสิ่งที่มีเชื้อไวรัส

🚶‍♂️ 3. หลีกเลี่ยงการไปสถานที่แออัด

หลีกเลี่ยงการไปสถานที่ที่มีคนเยอะ เช่น ห้างสรรพสินค้า หรือสถานที่ที่ไม่สามารถรักษาระยะห่างทางสังคม (Social distancing) ได้

💪 4. รักษาสุขภาพให้แข็งแรง

การออกกำลังกายเบา ๆ อย่างสม่ำเสมอจะช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันแข็งแรง การออกกำลังกายที่เหมาะสม เช่น เดินเร็ว, โยคะ หรือการทำสเต็ปพื้นฐาน
ควรปรึกษาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญก่อนเริ่มโปรแกรมการออกกำลังกาย


3. การดูแลสุขภาพโรค NCDs ในช่วงโควิด-19

🥗 1. รักษาระดับน้ำตาลในเลือด

ผู้ที่เป็น โรคเบาหวาน ควรควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้คงที่ เพื่อไม่ให้เกิดภาวะแทรกซ้อนจากการติดเชื้อ
การทานอาหารที่มีประโยชน์ ลดน้ำตาลและไขมันทรานส์, การออกกำลังกาย และการตรวจระดับน้ำตาลในเลือดเป็นประจำจะช่วยป้องกันโรคเบาหวานจากการแย่ลง

🫀 2. ควบคุมความดันโลหิต

การควบคุม ความดันโลหิต ในผู้ที่เป็นโรคหัวใจและหลอดเลือดสำคัญมากในช่วงนี้ เพราะการติดเชื้อโควิด-19 อาจทำให้ความดันสูงขึ้นหรือเกิดภาวะแทรกซ้อน
ตรวจวัดความดันโลหิตเป็นประจำและรักษาตามคำแนะนำของแพทย์

🍽️ 3. ควบคุมอาหารและน้ำหนัก

การมี น้ำหนักตัวที่เหมาะสม ช่วยลดความเสี่ยงจากหลายโรค เช่น โรคหัวใจ โรคเบาหวาน และโรคความดัน
ควรทานอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการ เช่น ผักผลไม้ ธัญพืช และโปรตีนจากแหล่งธรรมชาติ และหลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมันและน้ำตาลสูง


4. การติดตามสุขภาพและการรักษาตามนัดหมาย

📅 1. การตรวจสุขภาพเป็นประจำ

แม้ในช่วงโควิด-19 ควรที่จะเข้ารับการตรวจสุขภาพอย่างสม่ำเสมอเพื่อติดตามการรักษาโรค NCDs โดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ
คุณสามารถใช้บริการ Telemedicine หรือการปรึกษาผ่านทางออนไลน์เพื่อหลีกเลี่ยงการเดินทางไปโรงพยาบาล

📱 2. ติดตามอาการที่บ้าน

การตรวจสอบอาการต่าง ๆ เช่น น้ำหนักตัว, ระดับน้ำตาลในเลือด หรือความดันโลหิต สามารถทำได้ที่บ้าน
หากพบอาการผิดปกติ ควรปรึกษาแพทย์ทันที


5. สรุปการดูแลผู้ป่วยโรค NCDs ในช่วงโควิด-19

ในช่วงการระบาดของโควิด-19 ผู้ที่มี โรค NCDs ต้องให้ความสำคัญในการดูแลสุขภาพของตนเองมากเป็นพิเศษ
การรักษาความสะอาด รักษาระยะห่าง และการควบคุมโรคต่าง ๆ ที่มีอยู่ในร่างกายจะช่วยให้คุณสามารถป้องกันการติดเชื้อและลดความเสี่ยงในการเจ็บป่วยจากโรคโควิด-19 ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
อย่าลืมรักษาสุขภาพด้วยการออกกำลังกายที่เหมาะสม รับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพ และพบแพทย์ตามนัด เพื่อการดูแลที่เหมาะสม


หากคุณต้องการข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการดูแลผู้ป่วยโรค NCDs หรือการรักษาในช่วงโควิด-19 หรือมีคำถามเพิ่มเติมเกี่ยวกับการป้องกันตัวเองจากโรคต่าง ๆ
คุณสามารถติดต่อ คลินิกผู้เชี่ยวชาญ หรือหาข้อมูลจากแหล่งที่เชื่อถือได้อย่างต่อเนื่องเพื่อความปลอดภัยของตัวคุณเองและคนรอบข้าง

ติดต่อเรา : www.interwhc.com

Categories
บทความ

ความเสี่ยงจากโควิด-19 สำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง และโรคหัวใจ

ความเสี่ยงจากโควิด-19 สำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง และโรคหัวใจ

การระบาดของโรคโควิด-19 เป็นปัญหาสุขภาพระดับโลกที่ส่งผลกระทบอย่างมากต่อผู้คนทั่วโลก โดยเฉพาะผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น โรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง และโรคหัวใจ ผู้ป่วยในกลุ่มเหล่านี้ถือว่าเป็นกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูงในการติดเชื้อโควิด-19 และมักมีภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงจากเชื้อไวรัสนี้ บทความนี้จะอธิบายถึงความเสี่ยงและผลกระทบจากโควิด-19 ที่มีต่อผู้ป่วยโรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง และโรคหัวใจ รวมถึงวิธีการป้องกันและการดูแลตัวเอง


1. ความเสี่ยงจากโควิด-19 สำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวาน

ผู้ป่วยโรคเบาหวานมีความเสี่ยงสูงในการติดเชื้อโควิด-19 เนื่องจากระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายของผู้ป่วยเบาหวานมักจะทำงานได้ไม่เต็มที่ ส่งผลให้ร่างกายไม่สามารถต้านทานการติดเชื้อได้ดีเท่าคนทั่วไป นอกจากนี้การควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดไม่ดี อาจเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดภาวะแทรกซ้อนจากโควิด-19 เช่น โรคปอดอักเสบ หรือการติดเชื้อในระบบต่าง ๆ

ภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้น:

  • ภาวะหลอดเลือดหัวใจ: ผู้ป่วยเบาหวานมีความเสี่ยงสูงในการเกิดภาวะหลอดเลือดตีบและหัวใจล้มเหลว ซึ่งทำให้เพิ่มความเสี่ยงจากโควิด-19

  • ภาวะไตวาย: ผู้ป่วยเบาหวานที่มีการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดไม่ดี อาจเสี่ยงต่อภาวะไตวายที่รุนแรงขึ้นจากการติดเชื้อ

วิธีการป้องกัน:

  • ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้อยู่ในระดับปกติ

  • สวมหน้ากากอนามัยและหลีกเลี่ยงการอยู่ในที่แออัด

  • รักษาร่างกายให้แข็งแรงด้วยการรับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพ และการออกกำลังกายที่เหมาะสม


2. ความเสี่ยงจากโควิด-19 สำหรับผู้ป่วยความดันโลหิตสูง

โรคความดันโลหิตสูงเป็นโรคที่ทำให้หลอดเลือดเสื่อมสภาพและมีความเสี่ยงในการเกิดภาวะแทรกซ้อน เช่น โรคหัวใจและโรคหลอดเลือดสมอง เมื่อผู้ป่วยความดันโลหิตสูงติดเชื้อโควิด-19 อาจเกิดภาวะการล้มเหลวของหลอดเลือดหรือหัวใจได้ง่ายขึ้น

ภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้น:

  • หัวใจล้มเหลว: ความดันโลหิตสูงสามารถเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดหัวใจล้มเหลวจากการติดเชื้อ

  • โรคหลอดเลือดสมอง: ผู้ป่วยความดันโลหิตสูงมีความเสี่ยงสูงในการเกิดโรคหลอดเลือดสมอง (stroke) หากเกิดการติดเชื้อ

วิธีการป้องกัน:

  • ควบคุมความดันโลหิตให้คงที่ตามคำแนะนำของแพทย์

  • รักษาน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสมและหลีกเลี่ยงการเครียด

  • ปฏิบัติตามคำแนะนำเกี่ยวกับการใช้ยาและการรักษาที่แพทย์แนะนำ


3. ความเสี่ยงจากโควิด-19 สำหรับผู้ป่วยโรคหัวใจ

ผู้ป่วยโรคหัวใจ เช่น โรคหลอดเลือดหัวใจ โรคหัวใจล้มเหลว หรือโรคหัวใจขาดเลือด มีความเสี่ยงสูงในการเกิดภาวะแทรกซ้อนจากโควิด-19 ซึ่งอาจทำให้การทำงานของหัวใจแย่ลง เนื่องจากการติดเชื้อโควิด-19 อาจทำให้ระบบภูมิคุ้มกันทำงานหนักเกินไป ส่งผลให้หัวใจต้องทำงานหนักขึ้น

ภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้น:

  • ภาวะหัวใจล้มเหลว: ผู้ป่วยโรคหัวใจมีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดภาวะหัวใจล้มเหลวจากการติดเชื้อโควิด-19

  • การติดเชื้อในระบบหลอดเลือด: การติดเชื้อโควิด-19 สามารถกระตุ้นให้เกิดการอักเสบในหลอดเลือด ซึ่งอาจทำให้เกิดการอุดตันในหลอดเลือด

วิธีการป้องกัน:

  • ปฏิบัติตามแผนการรักษาที่แพทย์กำหนดอย่างเคร่งครัด

  • หลีกเลี่ยงการอยู่ในที่แออัดและสวมหน้ากากอนามัย

  • รักษาน้ำหนักให้เหมาะสมและหลีกเลี่ยงการบริโภคอาหารที่มีโซเดียมสูง


4. การดูแลผู้ป่วยกลุ่มเสี่ยงระหว่างการระบาดของโควิด-19

  • การตรวจสุขภาพอย่างสม่ำเสมอ: การตรวจเช็กสุขภาพและติดตามอาการจากแพทย์เพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อน

  • การรักษาอย่างต่อเนื่อง: การรับประทานยาและการรักษาผู้ป่วยตามคำแนะนำของแพทย์

  • การเพิ่มความระมัดระวังในการออกจากบ้าน: หลีกเลี่ยงการเดินทางหรือการไปสถานที่ที่มีคนพลุกพล่าน


สรุป

ผู้ป่วยโรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง และโรคหัวใจถือเป็นกลุ่มผู้ที่มีความเสี่ยงสูงต่อการติดเชื้อโควิด-19 และภาวะแทรกซ้อนที่เกี่ยวข้อง การดูแลสุขภาพและการป้องกันตามคำแนะนำของแพทย์เป็นสิ่งสำคัญในการลดความเสี่ยงเหล่านี้ การตรวจสุขภาพอย่างสม่ำเสมอ การควบคุมโรคพื้นฐาน และการปฏิบัติตามข้อควรระวังในการป้องกันโควิด-19 จะช่วยให้ผู้ป่วยสามารถมีสุขภาพที่ดีและลดความเสี่ยงจากโควิด-19 ได้

ติดต่อเรา : www.interwhc.com

Categories
บทความ

การรักษาผู้ป่วย NCDs ในช่วงโควิด-19 : การใช้เทคโนโลยีในการดูแลระยะไกล

การรักษาผู้ป่วย NCDs ในช่วงโควิด-19: การใช้เทคโนโลยีในการดูแลระยะไกล

การระบาดของโรคโควิด-19 ส่งผลกระทบต่อระบบการดูแลสุขภาพทั่วโลก โดยเฉพาะการรักษาผู้ป่วยที่มีโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) เช่น โรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ และโรคมะเร็ง ซึ่งต้องการการดูแลที่ต่อเนื่อง การใช้เทคโนโลยีในการดูแลระยะไกล (Telemedicine) ได้กลายเป็นวิธีการที่สำคัญในการรักษาผู้ป่วยเหล่านี้ในช่วงโควิด-19 เทคโนโลยีนี้ไม่เพียงช่วยให้ผู้ป่วยสามารถรับการรักษาได้จากที่บ้าน แต่ยังช่วยลดความเสี่ยงจากการติดเชื้อและเพิ่มความสะดวกในการเข้าถึงบริการสุขภาพ

ในบทความนี้ เราจะพูดถึงการใช้เทคโนโลยีในการดูแลผู้ป่วย NCDs ในช่วงโควิด-19 การประยุกต์ใช้งานการแพทย์ทางไกล และประโยชน์ที่ได้รับจากการใช้เทคโนโลยีในยุคนี้


1. เทคโนโลยีที่ใช้ในการดูแลระยะไกล

การแพทย์ทางไกล (Telemedicine) คือการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลในการให้บริการสุขภาพที่ผู้ป่วยไม่จำเป็นต้องมาพบแพทย์ที่โรงพยาบาลหรือคลินิก เทคโนโลยีที่ใช้ในการแพทย์ทางไกลสามารถแบ่งออกได้เป็นหลายประเภท เช่น

  • การให้คำปรึกษาผ่านวิดีโอคอล: ผู้ป่วยสามารถพูดคุยกับแพทย์ผ่านแอปพลิเคชันต่าง ๆ เช่น Zoom, Skype หรือแพลตฟอร์มที่พัฒนาขึ้นเฉพาะ

  • การส่งข้อมูลทางการแพทย์: การส่งข้อมูลผลการตรวจเลือด ผล X-ray หรือข้อมูลสุขภาพอื่น ๆ ไปยังแพทย์โดยใช้ระบบออนไลน์

  • การตรวจวัดทางการแพทย์ผ่านอุปกรณ์ดิจิทัล: เช่น การวัดระดับน้ำตาลในเลือด ความดันโลหิต หรือการใช้อุปกรณ์สำหรับติดตามการทำงานของหัวใจ


2. ประโยชน์ของการใช้เทคโนโลยีในการดูแลผู้ป่วย NCDs

ก. ลดความเสี่ยงจากการติดเชื้อโควิด-19

การที่ผู้ป่วยสามารถรับการดูแลทางการแพทย์จากที่บ้านช่วยลดความเสี่ยงในการออกไปที่โรงพยาบาล ซึ่งเป็นสถานที่ที่อาจมีความเสี่ยงสูงในการติดเชื้อโควิด-19 โดยเฉพาะสำหรับผู้ป่วยที่มีโรค NCDs ซึ่งมีภูมิคุ้มกันต่ำ

ข. การดูแลที่สะดวกและยืดหยุ่น

การแพทย์ทางไกลช่วยให้ผู้ป่วยสามารถเข้าถึงการรักษาได้ง่ายขึ้น โดยไม่ต้องเดินทางไปโรงพยาบาลในขณะที่ยังสามารถติดตามอาการและปรึกษาแพทย์ได้ทุกที่ทุกเวลา ซึ่งเหมาะสำหรับผู้ป่วยที่มีปัญหาในการเดินทางหรือไม่สะดวกที่จะออกจากบ้าน

ค. การติดตามอาการอย่างต่อเนื่อง

การใช้เทคโนโลยีในการแพทย์ทางไกลช่วยให้แพทย์สามารถติดตามอาการของผู้ป่วยอย่างต่อเนื่องผ่านการตรวจสอบข้อมูลสุขภาพจากอุปกรณ์ที่เชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ต เช่น เครื่องวัดความดันโลหิตหรือเครื่องตรวจน้ำตาลในเลือด ซึ่งช่วยให้สามารถปรับการรักษาให้เหมาะสมกับสภาพของผู้ป่วย


3. การใช้เทคโนโลยีในการปรับปรุงการรักษาผู้ป่วย NCDs

ก. การปรับการรักษาในแบบส่วนบุคคล

ด้วยการใช้เทคโนโลยี ผู้ป่วย NCDs สามารถได้รับการรักษาที่ปรับให้เหมาะสมกับความต้องการเฉพาะตัว แพทย์สามารถดูข้อมูลที่ได้รับจากอุปกรณ์ตรวจวัดและการให้คำปรึกษาผ่านการแพทย์ทางไกล เพื่อทำการปรับแผนการรักษาให้สอดคล้องกับอาการและความจำเป็นของผู้ป่วย

ข. การให้คำแนะนำทางโภชนาการและการออกกำลังกาย

เทคโนโลยีช่วยให้ผู้ป่วยสามารถได้รับคำแนะนำทางโภชนาการ การออกกำลังกาย และวิธีการดูแลสุขภาพผ่านช่องทางดิจิทัลที่สะดวก โดยไม่ต้องออกจากบ้าน ซึ่งจะช่วยปรับปรุงคุณภาพชีวิตและการจัดการกับโรค NCDs

ค. การสร้างความรู้และการให้ข้อมูล

ผู้ป่วยสามารถรับข้อมูลสุขภาพจากแหล่งข้อมูลที่เชื่อถือได้ผ่านแอปพลิเคชันหรือเว็บไซต์ทางการแพทย์ โดยสามารถเข้าถึงข้อมูลเกี่ยวกับโรค NCDs, วิธีการป้องกัน และการดูแลรักษาอย่างง่ายดาย


4. การปรับตัวของระบบสุขภาพ

การใช้เทคโนโลยีในการดูแลผู้ป่วย NCDs ได้รับความนิยมมากขึ้นในช่วงโควิด-19 ซึ่งช่วยให้ระบบการดูแลสุขภาพปรับตัวได้อย่างรวดเร็วจากการใช้งานทางการแพทย์ทางไกล การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีนี้ยังเป็นการเปิดโอกาสให้ผู้ป่วยสามารถได้รับการดูแลที่มีคุณภาพแม้ในช่วงที่มีการจำกัดการเดินทางและการพบปะ


สรุป

การใช้เทคโนโลยีในการดูแลผู้ป่วย NCDs ในช่วงโควิด-19 ได้พิสูจน์ให้เห็นถึงความสำคัญและประโยชน์ในการทำให้การรักษามีความสะดวกและปลอดภัยยิ่งขึ้น การแพทย์ทางไกลสามารถช่วยให้ผู้ป่วยสามารถเข้าถึงการดูแลสุขภาพได้อย่างต่อเนื่อง ลดความเสี่ยงจากการติดเชื้อ และช่วยให้การรักษามีความยืดหยุ่นและเหมาะสมกับแต่ละบุคคล การใช้เทคโนโลยีนี้จึงเป็นแนวทางสำคัญในการรักษาผู้ป่วย NCDs และเสริมสร้างการดูแลสุขภาพในระยะยาว

ติดต่อเรา : www.interwhc.com

Categories
บทความ

โรคที่มากับฤดูฝน และวิธีป้องกันและรักษา การฉีดวัคซีนที่จำเป็น

โรคที่มากับฤดูฝน และวิธีป้องกันและรักษา การฉีดวัคซีนที่จำเป็น

ฤดูฝนในประเทศไทยไม่เพียงแค่ทำให้บรรยากาศเย็นสบาย แต่ยังนำมาซึ่ง โรคภัยไข้เจ็บต่าง ๆ ที่เกิดจากความชื้นและน้ำท่วมขัง ซึ่งเป็นปัจจัยที่เหมาะสมสำหรับการแพร่กระจายของเชื้อโรคต่าง ๆ โรคที่มักพบในฤดูฝนบางโรคอาจมีอันตรายถึงชีวิต หากไม่ได้รับการรักษาหรือป้องกันที่ถูกต้อง ดังนั้น การเข้าใจเกี่ยวกับโรคที่มากับฤดูฝนและวิธีการป้องกันและรักษาจึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง


1. โรคไข้เลือดออก (Dengue Fever)

🦟 สาเหตุและการแพร่กระจาย

ไข้เลือดออกเกิดจากการติดเชื้อไวรัส เด็งกี ซึ่งมียุงลายเป็นพาหะนำเชื้อ การกัดของยุงลายที่เป็นพาหะจะปล่อยเชื้อไวรัสเข้าสู่ร่างกาย เมื่อคนติดเชื้อก็จะเริ่มแสดงอาการในระยะเวลาประมาณ 4-10 วัน

🧠 อาการที่พบ
  • มีไข้สูง ปวดเมื่อยตามร่างกาย

  • ปวดหัวอย่างรุนแรง โดยเฉพาะบริเวณรอบดวงตา

  • มีผื่นคัน

  • ในบางกรณีอาจมีอาการช็อก หรือมีภาวะเลือดออก เช่น เลือดออกจากเหงือกและจมูก

💡 วิธีป้องกัน
  • กำจัดแหล่งเพาะพันธุ์ยุง เช่น น้ำขังในภาชนะต่าง ๆ

  • ใส่เสื้อผ้าปกคลุมแขนขา และใช้ยากันยุง

  • ใช้ยากันยุงและสเปรย์ไล่ยุง

💉 การฉีดวัคซีน
  • วัคซีนไข้เลือดออก (Dengvaxia) สามารถฉีดให้แก่ผู้ที่มีประวัติการติดเชื้อเด็งกีแล้ว และช่วยป้องกันการติดเชื้อในอนาคต


2. โรคฉี่หนู (Leptospirosis)

🦠 สาเหตุและการแพร่กระจาย

โรคฉี่หนูเกิดจากการติดเชื้อ แบคทีเรียเลปโตสไปรา ซึ่งมักแพร่กระจายจากการสัมผัสกับน้ำที่ปนเปื้อนปัสสาวะของหนู โดยเฉพาะในช่วงน้ำท่วมขัง

🧠 อาการที่พบ
  • มีไข้สูง ปวดหัว

  • ปวดกล้ามเนื้อ โดยเฉพาะบริเวณน่อง

  • ปวดท้อง คลื่นไส้ อาเจียน

  • อาจมีภาวะตับและไตวายหากไม่ได้รับการรักษา

💡 วิธีป้องกัน
  • หลีกเลี่ยงการเดินลุยน้ำท่วมขังหรือแหล่งน้ำที่ไม่สะอาด

  • สวมรองเท้าบูทกันน้ำ และถุงมือเมื่อต้องสัมผัสกับน้ำหรือโคลน

  • รักษาความสะอาดบริเวณที่อาศัย โดยเฉพาะแหล่งน้ำ

💉 การฉีดวัคซีน
  • วัคซีนฉี่หนู (Leptospirosis Vaccine) สามารถฉีดได้ในบางกรณีโดยเฉพาะผู้ที่ทำงานในพื้นที่เสี่ยง


3. โรคตาแดง (Conjunctivitis)

🦠 สาเหตุและการแพร่กระจาย

โรคตาแดงเกิดจากการติดเชื้อไวรัสหรือแบคทีเรียในตา ซึ่งทำให้ดวงตาอักเสบและมีอาการแดง น้ำตาไหล อาจเกิดจากการสัมผัสน้ำที่ปนเปื้อนเชื้อโรคในช่วงฤดูฝน

🧠 อาการที่พบ
  • ตาแดง คัน หรือแสบตา

  • น้ำตาไหลมาก

  • ตาแห้งหรือมีขี้ตามาก

  • บางรายอาจมีอาการเจ็บตาหรือมองไม่ชัด

💡 วิธีป้องกัน
  • หลีกเลี่ยงการสัมผัสตาด้วยมือที่ไม่สะอาด

  • ใช้ผ้าเช็ดหน้าหรือผ้าเช็ดตาที่สะอาด

  • ทำความสะอาดตาด้วยน้ำเกลือหรือยาหยอดตาที่แพทย์แนะนำ


4. โรคทางเดินหายใจ (Respiratory Infections)

🦠 สาเหตุและการแพร่กระจาย

ในช่วงฤดูฝนที่อากาศชื้นและเย็น โรคติดเชื้อทางเดินหายใจมักเกิดได้ง่าย เช่น ไข้หวัดใหญ่, ไข้หวัด, หรือ ปอดบวม โดยเชื้อไวรัสและแบคทีเรียที่แพร่ระบาดในช่วงนี้มักแพร่กระจายได้ง่ายจากการไอหรือจาม

🧠 อาการที่พบ
  • มีไข้ ไอ เสมหะ

  • เจ็บคอ หายใจลำบาก

  • ในบางกรณีอาจมีอาการหายใจเร็ว หรือเหนื่อยง่าย

💡 วิธีป้องกัน
  • หลีกเลี่ยงการอยู่ในพื้นที่ที่มีคนหนาแน่นและอากาศไม่ถ่ายเท

  • สวมหน้ากากอนามัยเมื่ออยู่ในพื้นที่เสี่ยง

  • รักษาความสะอาด ล้างมือบ่อยๆ

💉 การฉีดวัคซีน
  • วัคซีนไข้หวัดใหญ่: ช่วยป้องกันการติดเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่

  • วัคซีนปอดบวม: สำหรับผู้ที่มีอายุหรือมีปัญหาสุขภาพ


5. โรคผิวหนังจากเชื้อรา (Fungal Infections)

🦠 สาเหตุและการแพร่กระจาย

โรคผิวหนังจากเชื้อราเกิดจากการที่ผิวหนังมีความชื้นจากการที่ฝนตกหรืออากาศที่เปียกชื้น ทำให้เชื้อราเจริญเติบโตได้ง่าย

🧠 อาการที่พบ
  • ผิวหนังเป็นผื่นแดง หรือคัน

  • อาจมีการลอกหรือสะเก็ดของผิวหนัง

  • บริเวณที่เป็นผื่นมักมีความชื้นและมีกลิ่นไม่พึงประสงค์

💡 วิธีป้องกัน
  • รักษาความสะอาดร่างกายและผิวหนัง

  • เปลี่ยนเสื้อผ้าและชุดชั้นในบ่อยๆ หากเปียกฝน

  • ใช้แป้งโรยตัวหรือยาฆ่าเชื้อราหากมีอาการ


สรุป

ฤดูฝนอาจเป็นช่วงเวลาที่มีความเสี่ยงต่อสุขภาพจากโรคต่าง ๆ ที่เกิดจากความชื้นและน้ำท่วมขัง การป้องกันโรคเหล่านี้สามารถทำได้โดยการ รักษาความสะอาด, หลีกเลี่ยงการสัมผัสกับสิ่งที่ปนเปื้อนเชื้อโรค, และ การฉีดวัคซีนที่จำเป็น นอกจากนี้ การดูแลสุขภาพตัวเองในช่วงฤดูฝนยังสามารถช่วยลดโอกาสในการเกิดโรคและเพิ่มภูมิคุ้มกันให้กับร่างกายได้

หากมีข้อสงสัยเพิ่มเติมเกี่ยวกับวัคซีนหรือวิธีการป้องกันโรคในฤดูฝน อย่าลืมปรึกษาแพทย์เพื่อคำแนะนำที่เหมาะสมกับสุขภาพของคุณ!
ติดต่อเรา : www.interwhc.com

Categories
บทความ

5 กลุ่มเสี่ยงที่ต้องระวังฮีทสโตรคในหน้าร้อนนี้

5 กลุ่มเสี่ยงที่ต้องระวังฮีทสโตรคในหน้าร้อนนี้

ในช่วงฤดูร้อนของประเทศไทยที่อุณหภูมิพุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องทุกปี หนึ่งในภัยเงียบที่น่ากลัวและอาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้ก็คือ “โรคลมแดด” หรือ “ฮีทสโตรค” (Heat Stroke)

หลายคนมองว่าอาการจากแดดแรงเป็นเรื่องเล็ก แต่ในความจริง ฮีทสโตรคคือภาวะที่อุณหภูมิร่างกายพุ่งสูงจนระบบภายในทำงานผิดปกติ อาจหมดสติ หัวใจล้มเหลว และเสียชีวิตได้ภายในไม่กี่นาทีหากไม่ได้รับการช่วยเหลือทันเวลา

ในบทความนี้เราจะพาคุณมารู้จักกับ 5 กลุ่มเสี่ยงที่ต้องระวังฮีทสโตรคมากเป็นพิเศษ พร้อมวิธีป้องกันที่ควรรู้ไว้ เพื่อดูแลตัวเองและคนรอบข้างได้อย่างปลอดภัยในหน้าร้อนนี้


✅ 1. ผู้สูงอายุ

ผู้สูงอายุเป็นกลุ่มที่มีความเสี่ยง สูงที่สุด เพราะระบบควบคุมอุณหภูมิในร่างกายเริ่มเสื่อมลงตามอายุ ประกอบกับโรคประจำตัว เช่น เบาหวาน ความดัน หัวใจ ทำให้ร่างกายขาดความสามารถในการปรับสมดุลเมื่อต้องเผชิญกับอากาศร้อนจัด

สัญญาณเตือน:

  • เหงื่อออกน้อยผิดปกติ

  • หน้ามืด เดินโซเซ

  • สับสน พูดไม่รู้เรื่อง

คำแนะนำ:

  • หลีกเลี่ยงออกจากบ้านช่วงแดดจัด

  • เปิดพัดลมหรือแอร์ให้ห้องเย็นสบาย

  • ดื่มน้ำบ่อย ๆ แม้ไม่รู้สึกกระหายน้ำ


✅ 2. เด็กเล็กและทารก

ระบบระบายความร้อนของเด็กยังทำงานได้ไม่เต็มที่ อีกทั้งเด็กยังไม่สามารถสื่อสารหรือดูแลตัวเองได้ดี หากถูกปล่อยให้อยู่ในที่ร้อน เช่น ในรถที่ปิดสนิท, กลางสนาม, หรือกลางแดดนานเกินไป มีโอกาสเกิดฮีทสโตรคได้ง่ายมาก

สัญญาณเตือน:

  • ตัวร้อนจัด หน้าแดง ไม่เหงื่อ

  • ซึม ไม่กินนม/อาหาร

  • หายใจเร็ว หรือหมดสติ

คำแนะนำ:

  • อย่าปล่อยเด็กอยู่ในรถแม้เพียง “5 นาที”

  • ใส่เสื้อผ้าบาง เบา ระบายอากาศได้ดี

  • ให้น้ำหรือของเหลวตามวัยอย่างเพียงพอ


✅ 3. คนทำงานกลางแดด/กลางแจ้ง

กลุ่มนี้ได้แก่ คนทำงานก่อสร้าง, แม่ค้า, เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย, พนักงานขนส่ง ฯลฯ ที่ต้องอยู่ในพื้นที่กลางแจ้งนานหลายชั่วโมง

แม้ร่างกายจะดูแข็งแรง แต่เมื่อร่างกายสูญเสียน้ำและเกลือแร่ต่อเนื่อง ความสามารถในการระบายความร้อนจะลดลงอย่างรวดเร็ว

สัญญาณเตือน:

  • เหนื่อยง่าย เวียนหัว

  • ปวดศีรษะ คลื่นไส้

  • กล้ามเนื้ออ่อนแรง

คำแนะนำ:

  • หยุดพักทุก 30-60 นาที ในที่ร่ม

  • ดื่มน้ำผสมเกลือแร่หรือ ORS

  • สวมหมวก ป้องกันแสงแดดจัด


✅ 4. นักกีฬา/ผู้ที่ออกกำลังกายกลางแจ้ง

การออกกำลังกายขณะอุณหภูมิสูง เช่น วิ่ง ปั่นจักรยาน หรือเตะบอลในสนามกลางแดด ทำให้ร่างกายสร้างความร้อนมากกว่าปกติ หากไม่ได้พักและดื่มน้ำเพียงพอ อาจเกิด ภาวะลมแดดแบบเฉียบพลัน

สัญญาณเตือน:

  • หัวใจเต้นเร็วผิดปกติ

  • รู้สึกชา แขนขาอ่อนแรง

  • มองภาพเบลอ หรือสั่น

คำแนะนำ:

  • เปลี่ยนเวลาซ้อมมาเป็นช่วงเช้า/เย็น

  • ใส่เสื้อผ้าสีอ่อน ระบายอากาศได้ดี

  • พกน้ำดื่มติดตัวตลอดเวลา


✅ 5. ผู้ป่วยโรคเรื้อรัง และผู้ที่ใช้ยาบางชนิด

ผู้ป่วยที่มีโรคประจำตัว เช่น โรคไต, โรคหัวใจ, ความดันสูง หรือผู้ที่ใช้ยาขับปัสสาวะ, ยาลดไข้ ยาต้านซึมเศร้า บางชนิดอาจรบกวนการระบายความร้อนของร่างกายได้ ทำให้เสี่ยงต่อการเกิดฮีทสโตรคสูงขึ้น

สัญญาณเตือน:

  • อ่อนแรง ปวดศีรษะ

  • เหงื่อไม่ออก ตัวร้อนจัด

  • วิงเวียน คล้ายจะเป็นลม

คำแนะนำ:

  • ปรึกษาแพทย์เรื่องผลข้างเคียงของยา

  • หลีกเลี่ยงพื้นที่อากาศร้อน อบอ้าว

  • ตรวจสุขภาพประจำอย่างต่อเนื่อง


📌 สรุป: ป้องกันฮีทสโตรคได้อย่างไร?

โรคฮีทสโตรคสามารถป้องกันได้ง่าย หากเรารู้เท่าทันและหลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยง ด้วยการ:

  • ดื่มน้ำอย่างเพียงพอ

  • หลีกเลี่ยงการอยู่กลางแดดนานเกินไป

  • สวมเสื้อผ้าบาง เบา ระบายอากาศได้ดี

  • หยุดพักทันทีเมื่อรู้สึกผิดปกติ

  • อยู่ในที่อากาศถ่ายเทหรือติดเครื่องปรับอากาศเมื่อจำเป็น

เพราะเพียงไม่กี่นาทีที่คุณละเลย อาจเปลี่ยนจากอากาศร้อนธรรมดา…เป็นอันตรายถึงชีวิตได้
ติดต่อเรา : www.interwhc.com

Categories
บทความ

โรคฮีทสโตรค (Heat Stroke) : คืออะไร และทำไมมันถึงอันตราย?

โรคฮีทสโตรค (Heat Stroke): คืออะไร และทำไมมันถึงอันตราย?

โรคฮีทสโตรค หรือที่รู้จักกันในชื่อ โรคลมแดด เป็นภาวะที่ร่างกายมีอุณหภูมิสูงเกินไปและไม่สามารถควบคุมอุณหภูมิได้อีกต่อไป ซึ่งอาจเกิดจากการอยู่ในที่ที่มีอากาศร้อนจัด หรือการออกกำลังกายอย่างหนักในสภาพอากาศที่ร้อนมาก โรคฮีทสโตรคสามารถทำให้ร่างกายสูญเสียความสามารถในการควบคุมอุณหภูมิ ซึ่งทำให้เกิดอันตรายร้ายแรงหากไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที

ในบทความนี้เราจะมาอธิบายว่า โรคฮีทสโตรค คืออะไร และทำไมมันถึงเป็นอันตรายต่อสุขภาพ พร้อมทั้งวิธีการป้องกันและการดูแลเมื่อเกิดโรคฮีทสโตรค


โรคฮีทสโตรคคืออะไร?

โรคฮีทสโตรค คือ ภาวะที่ร่างกายมี อุณหภูมิสูงเกิน 40°C หรือสูงกว่าปกติเป็นเวลานาน ซึ่งทำให้ร่างกายไม่สามารถควบคุมอุณหภูมิได้อย่างเหมาะสม เนื่องจากระบบการระบายความร้อนของร่างกายไม่ทำงานเต็มที่ โดยส่วนใหญ่จะเกิดจากการอยู่ในสภาพอากาศร้อนจัดหรือการออกกำลังกายหนักในอากาศที่ร้อน

ภาวะนี้อาจเกิดขึ้นได้โดยไม่ต้องสัมผัสกับแสงแดดโดยตรง แต่ส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นเมื่อร่างกายทำงานหนักในที่ที่อากาศร้อนและชื้นจนเกินไป

ประเภทของฮีทสโตรค:

  • ฮีทสโตรคชนิดแห้ง (Classic Heat Stroke): มักเกิดในผู้สูงอายุหรือคนที่มีปัญหาสุขภาพอยู่แล้ว

  • ฮีทสโตรคชนิดเปียก (Exertional Heat Stroke): เกิดจากการออกกำลังกายหนักในสภาพอากาศร้อนจัด เช่น การวิ่งมาราธอนในช่วงฤดูร้อน


ทำไมโรคฮีทสโตรคถึงอันตราย?

โรคฮีทสโตรคอันตรายมากเพราะมันสามารถทำให้เกิด ภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรง และส่งผลต่อ อวัยวะภายใน ได้อย่างรวดเร็ว หากไม่รีบรักษาอาจทำให้เกิดภาวะอวัยวะล้มเหลว เช่น หัวใจวาย, ไตวาย, หรือสมองบาดเจ็บ เนื่องจากความร้อนที่เกินขีดจำกัดจะทำให้ระบบต่าง ๆ ในร่างกายทำงานผิดปกติ

อันตรายที่เกิดจากฮีทสโตรค:

  • ระบบประสาท: ร่างกายจะสูญเสียความสามารถในการควบคุมอุณหภูมิ ทำให้สมองได้รับความเสียหาย

  • หัวใจ: การทำงานหนักของระบบไหลเวียนเลือดและอุณหภูมิร่างกายสูงมากทำให้ หัวใจหยุดทำงาน หรือเกิด ภาวะหัวใจวาย

  • ไต: การที่ร่างกายร้อนจัดทำให้ ระบบไตทำงานหนัก, ซึ่งอาจนำไปสู่การเกิด ไตวายเฉียบพลัน

  • การเสียชีวิต: หากไม่ทำการรักษาอย่างทันท่วงที โรคฮีทสโตรคอาจทำให้ผู้ป่วยเสียชีวิตได้


สัญญาณเตือนของโรคฮีทสโตรค

โรคฮีทสโตรคจะมี อาการที่ค่อนข้างรุนแรง และสามารถแสดงออกมาอย่างรวดเร็ว ดังนั้นการสังเกตอาการล่วงหน้าจะช่วยให้การรักษาเป็นไปอย่างทันท่วงที

  • อุณหภูมิร่างกายสูงเกินไป (มากกว่า 40°C)

  • ผิวหนังแห้งและร้อน โดยไม่เหงื่อออก

  • ปวดศีรษะหรือเวียนศีรษะ

  • อ่อนแรง, คลื่นไส้ หรืออาเจียน

  • สับสนหรือหมดสติ

  • หายใจเร็วหรือหายใจลำบาก

  • การชัก หรือ อาการซึมเศร้า

คำแนะนำ:
หากพบอาการเหล่านี้ ควรรีบทำการปฐมพยาบาลและพาผู้ป่วยไปโรงพยาบาลทันที


วิธีการป้องกันโรคฮีทสโตรค

การป้องกันโรคฮีทสโตรคสามารถทำได้ง่าย ๆ ด้วยการระมัดระวังในช่วงอากาศร้อน:

1. ดื่มน้ำให้เพียงพอ

การดื่มน้ำเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการป้องกันฮีทสโตรค โดยการดื่มน้ำช่วยรักษาอุณหภูมิร่างกายให้คงที่

2. หลีกเลี่ยงการออกแดดแรง ๆ

หลีกเลี่ยงการอยู่ในที่ที่มีแดดจัดและควรหลีกเลี่ยงการออกกำลังกายหนักในช่วงเวลาแดดจัด

3. ใช้เสื้อผ้าที่ระบายอากาศได้ดี

เลือกสวมเสื้อผ้าที่ทำจากวัสดุธรรมชาติ เช่น ผ้าฝ้าย เพื่อให้ร่างกายระบายความร้อนได้ดี

4. พักในที่ร่มและมีอากาศถ่ายเท

หากคุณอยู่ในพื้นที่ร้อน ควรหาที่ร่มและพยายามอยู่ในสถานที่ที่มีอากาศถ่ายเท เช่น ในห้องที่มีเครื่องปรับอากาศ

5. หลีกเลี่ยงการออกกำลังกายในช่วงเวลาที่อากาศร้อนมาก

หากคุณต้องออกกำลังกายในช่วงฤดูร้อน ควรเลือกเวลาเช้าหรือเย็นที่อากาศไม่ร้อนจัด


📌 สรุป

โรคฮีทสโตรค เป็นภาวะที่อันตรายมากหากไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที สามารถเกิดขึ้นได้จากการอยู่ในที่ที่ร้อนจัดหรือการออกกำลังกายหนักในอากาศร้อน การสังเกตอาการและการป้องกันโรคฮีทสโตรคในช่วงที่อากาศร้อนจะช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคและรักษาความปลอดภัยให้กับตัวเอง

การป้องกัน ทำได้ง่าย ๆ โดยการดื่มน้ำให้เพียงพอ หลีกเลี่ยงการอยู่กลางแดดจัด และเลือกสวมใส่เสื้อผ้าที่ระบายอากาศได้ดี เพื่อลดความเสี่ยงจากโรคฮีทสโตรค

Categories
บทความ

การตรวจโรคก่อนทำงาน : ขั้นตอนและข้อควรระวังที่คุณต้องรู้

การตรวจโรคก่อนทำงาน : ขั้นตอนและข้อควรระวังที่คุณต้องรู้

การตรวจสุขภาพก่อนทำงานเป็นขั้นตอนสำคัญที่ช่วยให้ทั้งพนักงานและนายจ้างมั่นใจในสุขภาพของพนักงาน ซึ่งไม่เพียงแต่ช่วยป้องกันการแพร่กระจายของโรคต่างๆ แต่ยังช่วยลดความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากโรคที่ไม่สามารถมองเห็นได้ง่าย การตรวจสุขภาพก่อนทำงานไม่ใช่แค่การป้องกันโรค แต่ยังเป็นการส่งเสริมสภาพแวดล้อมการทำงานที่ดีและปลอดภัย สำหรับบทความนี้ เราจะพูดถึงขั้นตอนในการตรวจสุขภาพก่อนทำงานและข้อควรระวังที่คุณควรรู้


1. ทำไมการตรวจสุขภาพก่อนทำงานจึงสำคัญ?

การตรวจสุขภาพก่อนเริ่มงานเป็นการประเมินความพร้อมของพนักงานที่ต้องทำงานในสภาพแวดล้อมที่แตกต่างกัน เช่น งานในโรงงาน, สำนักงาน, หรือการทำงานในพื้นที่ที่เสี่ยงต่อการติดเชื้อ การตรวจโรคก่อนทำงานจึงช่วยในการคัดกรองโรคที่อาจส่งผลกระทบต่อการทำงาน รวมถึงการป้องกันไม่ให้พนักงานที่มีโรคประจำตัวไปทำงานในสภาพแวดล้อมที่อาจเสี่ยงทำให้สุขภาพของตนแย่ลง

ข้อดี:

  • ป้องกันการแพร่กระจายของโรค

  • ลดความเสี่ยงจากการทำงานในสภาพแวดล้อมที่ไม่เหมาะสม

  • ช่วยให้ผู้ประกอบการมั่นใจว่าพนักงานสามารถทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ


2. ขั้นตอนการตรวจสุขภาพก่อนทำงาน

การตรวจสุขภาพก่อนทำงานมีขั้นตอนที่ต้องดำเนินการอย่างละเอียดเพื่อให้ได้ข้อมูลที่ครบถ้วนและถูกต้อง โดยทั่วไปแล้วการตรวจสุขภาพจะประกอบไปด้วยหลายขั้นตอนดังนี้:

  • การสัมภาษณ์ประวัติสุขภาพ: ผู้ที่จะเข้าทำงานจะต้องให้ข้อมูลเกี่ยวกับประวัติสุขภาพของตน เช่น โรคประจำตัว, การใช้ยาปฏิชีวนะ, การรักษาโรคในอดีต ฯลฯ เพื่อให้ทีมแพทย์สามารถประเมินได้ว่ามีปัญหาสุขภาพอะไรที่อาจมีผลกระทบต่อการทำงาน

  • การตรวจร่างกายทั่วไป: การตรวจวัดความดันโลหิต, การวัดน้ำหนัก, การตรวจเลือด, การตรวจปัสสาวะ ฯลฯ เพื่อดูสภาพร่างกายทั่วไปของพนักงาน

  • การตรวจโรคที่เกี่ยวข้องกับงาน: สำหรับงานที่มีความเสี่ยงสูง เช่น การทำงานในโรงงาน, การทำงานกับสารเคมี, หรือการทำงานที่ต้องใช้แรงงานหนัก การตรวจโรคที่เกี่ยวข้อง เช่น โรคทางหายใจ, โรคเกี่ยวกับกระดูกและกล้ามเนื้อ, โรคทางการได้ยิน ฯลฯ จะช่วยประเมินความสามารถในการทำงาน

  • การตรวจเชื้อโรค: สำหรับการทำงานในบางอุตสาหกรรมที่มีความเสี่ยงสูงต่อการติดเชื้อ เช่น โรงพยาบาล, อุตสาหกรรมอาหาร ฯลฯ การตรวจหาการติดเชื้อหรือการประเมินความเสี่ยงทางสุขภาพจะเป็นส่วนสำคัญในการตรวจสุขภาพก่อนทำงาน


3. ข้อควรระวังในการตรวจสุขภาพก่อนทำงาน

การตรวจสุขภาพก่อนทำงานมีประโยชน์มากมาย แต่ก็มีข้อควรระวังที่ต้องใส่ใจ เพื่อให้การตรวจสุขภาพมีความแม่นยำและปลอดภัย:

  • การเปิดเผยข้อมูลอย่างตรงไปตรงมา: ผู้ที่เข้าทำงานควรเปิดเผยข้อมูลสุขภาพที่สำคัญทั้งหมด เช่น โรคประจำตัวที่อาจส่งผลต่อการทำงาน หรืออาการที่เกิดขึ้นบ่อย เพื่อให้การตรวจสุขภาพสามารถประเมินได้อย่างถูกต้อง

  • การเลือกสถานที่ตรวจสุขภาพที่ได้รับการรับรอง: การตรวจสุขภาพควรทำที่สถานพยาบาลที่มีมาตรฐานและได้รับการรับรองจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น โรงพยาบาลหรือคลินิกที่มีเครื่องมือและบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญ

  • การตรวจหลังจากมีอาการผิดปกติ: หากคุณมีอาการผิดปกติหรือมีโรคที่อาจส่งผลกระทบต่อการทำงาน ควรไปปรึกษาแพทย์และทำการตรวจร่างกายเพิ่มเติม ก่อนเข้าทำงานในลักษณะงานที่อาจมีความเสี่ยง

  • การติดตามผลการตรวจ: หลังจากการตรวจสุขภาพเสร็จสิ้น คุณควรได้รับผลการตรวจจากแพทย์และคำแนะนำในการดูแลสุขภาพ และหากพบปัญหาสุขภาพที่ต้องได้รับการรักษา ควรทำตามคำแนะนำเพื่อให้สามารถทำงานได้อย่างปลอดภัย


4. สิทธิของพนักงานในการตรวจสุขภาพก่อนทำงาน

ตามกฎหมายหลายประเทศ การตรวจสุขภาพก่อนทำงานถือเป็นสิทธิที่พนักงานควรได้รับ เพื่อให้มีความมั่นใจว่าไม่มีโรคที่ส่งผลกระทบต่อความสามารถในการทำงานหรือเป็นอันตรายต่อผู้อื่น นอกจากนี้การตรวจสุขภาพยังช่วยให้พนักงานได้รับการรักษาที่เหมาะสมหากพบปัญหาสุขภาพตั้งแต่เนิ่นๆ

ข้อดี:

  • ช่วยให้พนักงานได้รับการดูแลสุขภาพตั้งแต่แรก

  • ช่วยให้พนักงานสามารถป้องกันโรคหรืออาการที่อาจส่งผลกระทบต่อการทำงานได้เร็วขึ้น

  • เสริมสร้างความมั่นใจให้กับพนักงานในการทำงาน


5. สรุป

การตรวจสุขภาพก่อนทำงานเป็นขั้นตอนที่สำคัญทั้งสำหรับพนักงานและนายจ้าง เพื่อป้องกันปัญหาสุขภาพที่อาจส่งผลกระทบต่อการทำงาน การตรวจสุขภาพจะช่วยคัดกรองโรคที่อาจไม่สามารถเห็นได้ด้วยตาเปล่าและช่วยให้ทั้งพนักงานและองค์กรสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัย การเปิดเผยข้อมูลสุขภาพอย่างตรงไปตรงมาพร้อมกับการเลือกสถานที่ตรวจสุขภาพที่มีมาตรฐานจะช่วยให้การตรวจสุขภาพก่อนทำงานเป็นไปอย่างราบรื่นและมีประสิทธิภาพสูงสุด
ติดต่อเรา :  www.interwhc.com

Categories
บทความ

ก่อนการเข้าทำงานเตรียมตัวอย่างไร และเตรียมตัวตรวจสุขภาพด้านไหนบ้าง?

ก่อนการเข้าทำงานเตรียมตัวอย่างไร และเตรียมตัวตรวจสุขภาพด้านไหนบ้าง?

การตรวจสุขภาพก่อนเริ่มงานไม่เพียงแต่จะช่วยให้คุณมั่นใจในสุขภาพของตัวเอง แต่ยังช่วยให้บริษัทหรือองค์กรที่คุณจะเข้าทำงานสามารถมั่นใจได้ว่าคุณจะสามารถทำงานได้เต็มประสิทธิภาพและปลอดภัยจากโรคต่าง ๆ ที่อาจจะมีผลกระทบต่อการทำงาน โดยเฉพาะในบางตำแหน่งที่ต้องใช้ร่างกายหรือสุขภาพที่ดีในการทำงาน เช่น งานในโรงงาน อุตสาหกรรมอาหาร หรือในภาคการแพทย์

ในบทความนี้จะพาคุณไปทำความรู้จักกับ การเตรียมตัวก่อนเข้าทำงาน และ การตรวจสุขภาพที่สำคัญ ก่อนเริ่มงาน เพื่อให้คุณพร้อมและมีสุขภาพที่ดีในการเริ่มต้นอาชีพใหม่


✅ การเตรียมตัวก่อนการเข้าทำงาน

1. ทำความเข้าใจกับประเภทงานที่ทำ

ก่อนการเข้าทำงาน คุณควรทราบประเภทงานที่คุณจะทำ และต้องเตรียมตัวในด้านไหนบ้าง เช่น หากเป็นงานในโรงงานหรือสภาพแวดล้อมที่มีการเคลื่อนไหวตลอดเวลา การตรวจสุขภาพทางร่างกายและการทดสอบสมรรถภาพจะเป็นสิ่งที่จำเป็น ส่วนงานที่เกี่ยวข้องกับการใช้งานคอมพิวเตอร์เป็นเวลานานก็อาจต้องตรวจสุขภาพด้านตาและสุขภาพจิต

2. ตรวจสอบเอกสารการทำงาน

ตรวจสอบเอกสารที่เกี่ยวข้องกับการทำงาน เช่น ใบสมัครงาน สัญญาจ้าง และเอกสารทางการแพทย์ที่อาจจะต้องเตรียมให้กับสถานที่ทำงาน เช่น ประวัติการแพทย์ที่เคยรักษา รวมถึงการขอใบรับรองแพทย์ที่เกี่ยวข้อง


🩺 การตรวจสุขภาพที่สำคัญก่อนการเริ่มงาน

1. ตรวจสุขภาพทั่วไป

การตรวจสุขภาพทั่วไปจะเป็นการตรวจร่างกายเบื้องต้นเพื่อประเมินสุขภาพของคุณ โดยจะมีการตรวจต่าง ๆ เช่น

  • การตรวจน้ำหนัก ส่วนสูง ดัชนีมวลกาย (BMI)

  • การวัดความดันโลหิต

  • การตรวจการทำงานของหัวใจ

  • การตรวจเบาหวาน และระดับน้ำตาลในเลือด

  • การตรวจการทำงานของตับและไต


2. ตรวจเลือดเพื่อหาความผิดปกติ

การตรวจเลือดจะช่วยให้คุณรู้สถานะสุขภาพของตัวเอง เช่น

  • การตรวจไขมันในเลือด

  • การตรวจระดับคอเลสเตอรอล

  • การตรวจไวรัสตับอักเสบ B และ C

  • การตรวจธาตุเหล็กในเลือด


3. การตรวจสุขภาพทางสายตา

หากคุณทำงานที่ต้องใช้สายตามาก เช่น งานที่เกี่ยวกับการใช้คอมพิวเตอร์ งานในโรงงานที่ต้องมองเห็นรายละเอียด การตรวจสุขภาพตาจะเป็นการป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาสายตาในระยะยาว เช่น

  • การตรวจวัดสายตา

  • การตรวจสายตาในการใช้คอมพิวเตอร์

  • การตรวจวัดการรับแสงในที่มืด


4. ตรวจสุขภาพจิต

สำหรับบางงานที่มีความเครียดสูงหรือจำเป็นต้องทำงานภายใต้แรงกดดัน เช่น งานด้านบริการลูกค้า การตรวจสุขภาพจิตจึงสำคัญมาก เพราะจะช่วยให้คุณรู้ตัวว่าอาจจะมีปัญหาทางจิตใจที่ต้องการการดูแล

  • การตรวจสุขภาพจิต

  • การทดสอบภาวะเครียดและภาวะซึมเศร้า

  • การประเมินการทำงานร่วมกับผู้อื่น


🏥 บริการตรวจสุขภาพครบวงจรจาก บริษัท อินเทอเวลธ์ เฮลธ์แคร์ จำกัด

หากคุณต้องการ การตรวจสุขภาพก่อนเข้าทำงาน หรือ การตรวจสุขภาพประจำปี ที่มีมาตรฐานสูง พร้อมทีมแพทย์เฉพาะทางที่มีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญ
แนะนำให้ใช้บริการจาก 👉 บริษัท อินเทอเวลธ์ เฮลธ์แคร์ จำกัด
ที่มีบริการตรวจสุขภาพครบวงจร เช่น การตรวจหาความเสี่ยงโรคต่าง ๆ การตรวจสุขภาพประจำปี และบริการสุขภาพอื่น ๆ อีกมากมาย


✨ สรุปเนื้อหา

การเตรียมตัวก่อนเข้าทำงานโดยเฉพาะการตรวจสุขภาพเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้คุณพร้อมทำงานอย่างเต็มประสิทธิภาพ และลดความเสี่ยงในการเกิดโรคที่อาจส่งผลต่อการทำงานในอนาคต การตรวจสุขภาพทั่วไป การตรวจเลือด หรือการตรวจสุขภาพจิต สามารถช่วยให้คุณมั่นใจในสุขภาพของตัวเองก่อนเริ่มงานใหม่

หากคุณกำลังมองหาบริการ ตรวจสุขภาพครบวงจร จากผู้เชี่ยวชาญด้านการแพทย์
ขอแนะนำ บริษัท อินเทอเวลธ์ เฮลธ์แคร์ จำกัด ที่ให้บริการมาตรฐานระดับสากลและการดูแลสุขภาพที่ดีที่สุด