Categories
บทความ

ไขข้อสงสัย ไข้หวัดใหญ่ต่างจากไข้หวัดธรรมดาอย่างไร?

ไขข้อสงสัย ไข้หวัดใหญ่ต่างจากไข้หวัดธรรมดาอย่างไร?

เวลาสภาพอากาศเปลี่ยนแปลง เดี๋ยวร้อนเดี๋ยวเย็น เช้าแดดเปรี้ยง บ่ายฝนกระหน่ำ แขกไม่ได้รับเชิญอย่างไข้หวัดและไข้หวัดใหญ่ก็พร้อมจะมาเยือนเราได้เสมอ และเนื่องจากโรคทั้งสองชนิดนี้มีอาการทั่วไปคล้ายกัน จึงไม่แปลกเลยที่บางครั้งก็ทำให้หลายคนสับสน จนอาจดูแลตัวเองและลูก ๆ ไม่ถูกวิธี ดังนั้นเราจึงรวบรวมวิธีสังเกตความแตกต่าง ระหว่างไข้หวัดธรรมดาและไข้หวัดใหญ่แบบง่าย ๆ มาฝากดังนี้ค่ะ

 

ไข้หวัดธรรมดา เริ่มต้นจากอาการคัดจมูก น้ำมูกไหล ไอ จาม หรือเจ็บคอ มีไข้ต่ำ ๆ หรือไม่มีไข้ก็ได้ ไม่ค่อยปวดกล้ามเนื้อ มีโอกาสเป็นได้ตลอดทั้งปี อาการไม่รุนแรงและหายได้เอง หากเป็นไข้หวัดเรื้อรังจะเกิดโรคแทรกซ้อนอย่างเช่น ไซนัสอักเสบ หูอักเสบ ปอดอักเสบ

 

ไข้หวัดใหญ่ แตกต่างจากไข้หวัดธรรมดาตรงที่มีไข้สูง 38-40 องศาเซลเซียส เป็นนาน 3-4 วันขึ้นไป ไม่เจ็บคอ ส่วนใหญ่จะไอแห้ง ๆ ปวดหัว ร่างกายอ่อนเพลีย ปวดเมื่อยตามข้อและกล้ามเนื้อ อาจมีอาการหนาวสั่นสะท้านและเบื่ออาหาร อาการรุนแรงและยาวนานกว่าไข้หวัดธรรมดา มีภาวะแทรกซ้อนได้บ่อยกว่า สำหรับผู้สูงอายุและผู้ป่วยที่มีปัญหาเกี่ยวกับหัวใจหรือปอด อาจเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนรุนแรง อย่างปอดบวม กล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ สมองอักเสบ จนอันตรายถึงขั้นเสียชีวิตได้ ปกติจะระบาดหนักช่วงปลายฤดูฝนจนถึงฤดูหนาว

 

ถึงจะเป็นกันง่าย แต่ก็รักษาไม่ยาก

ไข้หวัดธรรมดามักหายได้เอง จึงรักษาตามอาการ เช่น กินยาบรรเทาอาการปวดลดไข้พาราเซตามอล กินยาแก้ไอ ดื่มน้ำอุ่น นอนพักผ่อนมาก ๆ ส่วนไข้หวัดใหญ่นั้นนอกจากจะรักษาตามอาการเช่นเดียวกับไข้หวัดธรรมดาแล้ว การฉีดวัคซีนป้องกันปีละครั้ง ก็เป็นอีกวิธีที่ได้ผลและช่วยลดความรุนแรงจากภาวะแทรกซ้อนได้ค่ะ

 

ไข้หวัดธรรมดา กลายพันธุ์เป็นไข้หวัดใหญ่ได้หรือไม่?

ใครที่กลัวว่าไข้หวัดธรรมดาจะทวีความรุนแรงจนกลายเป็นไข้หวัดใหญ่ละก็ หายห่วงไปได้เลย เพราะไข้หวัดทั้งสองเกิดจากไวรัสคนละชนิดกันค่ะ ไข้หวัดธรรมดาเกิดจากไวรัสร่วม 200 ชนิด ที่พบมากสุดคือ ไรโนไวรัส (Rhinovirus) รองลงมาเป็นโคโรนาไวรัส (Coronavirus) ส่วนเชื้อต้นเหตุของไข้หวัดใหญ่คือ อินฟลูเอนซาไวรัส (Influenza virus) หรือไวรัสไข้หวัดใหญ่ ซึ่งสายพันธุ์หลักที่พบบ่อยได้แก่ ไวรัสไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ A และไวรัสไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ B วิธีสังเกตความแตกต่างง่าย ๆ ระหว่างไข้หวัดใหญ่ 2 สายพันธุ์นี้คือ สายพันธุ์ A มีอาการรุนแรงกว่า ส่วนสายพันธุ์ B มักแพร่ระบาดในช่วงฤดูหนาว เนื่องจากเชื้อไวรัสชนิดนี้เติบโตได้ดีในสภาพอากาศที่เย็นและแห้งนั่นเอง

 

 

ดูแลตัวเองอย่างไร ไม่ให้เป็นไข้หวัดและไข้หวัดใหญ่?

ไม่ว่าจะไข้หวัดธรรมดาหรือไข้หวัดใหญ่ก็คงไม่มีใครอยากเป็นใช่ไหมละคะ ดังนั้นการดูแลตัวเอง เด็ก ๆ และคนรอบข้าง ให้ห่างไกลจากโรคอยู่เสมอจึงสำคัญที่สุดค่ะ วิธีป้องกันง่าย ๆ ได้แก่ ล้างมือให้สะอาด กินอาหารที่ดีต่อสุขภาพ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ หลีกเลี่ยงการสัมผัสผู้ป่วย และไม่อยู่ในพื้นที่ที่เสี่ยงต่อการระบาดของโรค ที่สำคัญต้องพักผ่อนให้เพียงพอ แค่นี้ชีวิตก็ห่างไกลจากไข้หวัดธรรมดาและไข้หวัดใหญ่ได้ไม่ยากค่ะ

 

วัคซีนไข้หวัดใหญ่ ช่วยป้องกันไข้หวัดธรรมดาได้ไหมนะ?

วิธีที่ดีที่สุดในการป้องกันตัวเองให้ปลอดภัยจากไข้หวัดใหญ่คือ การฉีดวัคซีนเป็นประจำทุกปี โดยวัคซีน 1 เข็ม สามารถต้านได้ทั้งไวรัสไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ A และสายพันธุ์ B แต่วัคซีนไข้หวัดใหญ่ไม่ได้ช่วยป้องกันไข้หวัดธรรมดานะคะ เพราะเกิดจากเชื้อไวรัสคนละชนิดกัน และปัจจุบันยังไม่มีวัคซีนป้องกันโรคไข้หวัดธรรมดา

กลุ่มที่มีความเสี่ยงสูงและควรได้รับวัคซีนไข้หวัดใหญ่คือ เด็กอายุ 6 เดือน – 3 ขวบ คนที่มีอายุ 65 ปีขึ้นไป คนที่อาศัยในสถานพักฟื้นหรือบ้านพักคนชรา ผู้ป่วยโรคเรื้อรังหรือมีภูมิคุ้มกันอ่อนแอ คุณแม่ที่มีอายุครรภ์ 3 เดือนขึ้นไป บุคลากรทางการแพทย์และเจ้าหน้าที่บริการสังคม ส่วนคนที่ไม่เหมาะจะรับวัคซีนไข้หวัดใหญ่ ได้แก่ เด็กอายุน้อยกว่า 6 เดือน คนที่มีประวัติแพ้ไข่รุนแรงหรือเคยมีอาการแพ้วัคซีนไข้หวัดใหญ่ นอกจากนี้ หากคุณกำลังมีไข้สูง มีอาการของโรคประจำตัวกำเริบ หรือเพิ่งหายจากการเจ็บป่วย ควรเลื่อนการรับวัคซีนออกไปก่อน กรณีที่เป็นหวัดเล็กน้อยและไม่มีไข้ สามารถรับฉีดวัคซีนได้ตามปกติค่ะ

 

อันที่จริงไข้หวัดแบบไหนก็ไม่สำคัญ ถ้าเรารู้เท่าทันและดูแลป้องกันตัวเองสม่ำเสมอ ทีนี้ต่อให้มันเข้ามารุกรานบ่อยแค่ไหน เราก็รับมือได้ง่ายนิดเดียวค่ะ

 

บทความนี้ตรวจสอบความถูกต้องโดยแพทย์ชำนาญการ

แหล่งที่มา : https://www.painandpill.com/kids/influenza

Categories
บทความ

ไข้หวัดใหญ่ มีกี่สายพันธุ์? ป้องกันอย่างไร?

ไข้หวัดใหญ่ มีกี่สายพันธุ์? ป้องกันอย่างไร?

ไข้หวัดใหญ่ คืออะไร?

ไข้หวัดใหญ่เป็นอาการที่ร่างกายติดเชื้อไวรัส influenza ที่ระบบทางเดินหายใจแบบเฉียบพลัน โดยจะมีอาการไข้สูงทันทีทันใด ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยตามตัว และอ่อนเพลีย

อาการของไข้หวัดใหญ่ แตกต่างจากไข้หวัดธรรมดาอย่างไร?
โดยทั่วไปลักษณะอาการค่อนข้างคล้ายไข้หวัดธรรมดา เพียงแต่อาจมีอาการหนักกว่า และยาวนานกว่า เช่น ไข้สูง และนานกว่า ปวดเมื่อยตามตัวมากกว่า อ่อนเพลียมากกว่า และมักเป็นแบบทันทีทันใด ไม่ใช่อาการค่อยเป็นค่อยไปทีละอย่างเหมือนไข้หวัดธรรมดา ไข้หวัดใหญ่อาจมีอาการนานถึง 6-10 วัน นอกจากนี้ไข้หวัดใหญ่ยังเสี่ยงจะมีภาวะแทรกซ้อนมากกว่า จึงทำให้บางครั้งผู้ป่วยไข้หวัดใหญ่อาจต้องนอนโรงพยาบาล เพื่อคอยดูอาการ ป้องกันอาการแทรกซ้อน และการแพร่กระจายของเชื้อไวรัส ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของแพทย์

อะไรเป็นสาเหตุของการเกิด ไข้หวัดใหญ่?

เชื้อไข้หวัดใหญ่นี้เป็นไวรัสที่มีชื่อว่า อินฟลูเอนซา (Influenza Virus) ที่มีอยู่ในน้ำลาย น้ำมูก และเสมหะของผู้ป่วย ซึ่งเชื้อไวรัสชนิดนี้ถูกจัดอยู่ในกลุ่มไวรัสที่เรียกว่า Orthomyxovirus

ไข้หวัดใหญ่ มีกี่สายพันธุ์?
เท่าที่เราทราบกันอยู่ คือ ไข้หวัดใหญ่มีหลายสายพันธุ์ สามารถแบ่งออกเป็น 2 สายพันธุ์ใหญ่ๆ ได้แก่

  1. ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ A
  2. ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ B

สายพันธุ์ C มีความรุนแรงน้อย และไม่ทำให้เกิดการระบาด จึงไม่นับรวมอยู่ในกลุ่มของไข้หวัดใหญ่ แต่สำหรับไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ A นั้น สามารถแบ่งแยกออกมาย่อยๆ ได้อีกมากมาย ตามที่เราเห็นกันในข่าว เช่น A(H1N1), A(H1N2), A(H3N2), A(H5N1) และ A(H9N2) ตามความแตกต่างของโปรตีนของไวรัสที่เรียกว่า hemagglutinin (H) และ neuraminidase (N) ที่เป็นสาเหตุของไข้หวัดใหญ่นั้นๆ นั่นเอง ในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา สายพันธุ์ของไข้หวัดใหญ่ที่ระบาดจนเป็นสาเหตุให้มีคนเสียชีวิต คือ ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ A ชนิด H1N1 และ H5N1 เป็นต้น

ใครที่มีความเสี่ยงในการเป็นไข้หวัดใหญ่บ้าง?
ไม่ว่าจะเป็นเพศใด อายุเท่าไร ก็สามารถเสี่ยงเป็นไข้หวัดใหญ่ได้ หากภูมิคุ้มกันร่างกายไม่ดีพอ แต่คนที่มีความเสี่ยงมากกว่าคนอื่น คือผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น โรคปอดเรื้อรัง หอบหืด หัวใจ เบาหวาน และกลุ่มผู้สูงอายุ
ไข้หวัดใหญ่ ติดต่อกันได้อย่างไร?
ไข้หวัดใหญ่สามารถติดต่อกันจากการรับเชื้อไวรัสผ่านการไอ จาม พูด และลมหายใจของผู้ที่ติดเชื้อ รวมไปถึงน้ำลายจากการใช้ช้อน แก้วเดียวกัน หรือแม้กระทั่งสัมผัสข้าวของที่ผู้ป่วยสัมผัส หลังจากใช้มือป้องปากเวลาจามหรือไอด้วย

การรักษาไข้หวัดใหญ่
ไข้หวัด เป็นโรคที่ไม่มียารักษาโดยตรง ทำได้แต่เพียงรักษาตามอาการที่มีเท่านั้น เช่น มีไข้ก็ให้ยาลดไข้ เจ็บคอก็ให้ยาแก้เจ็บคอ เป็นต้น ในกรณีของไข้หวัดใหญ่ก็เช่นกัน แพทย์จะรักษาตามอาการ พร้อมกับติดตามอาการอย่างใกล้ชิด หากมีอาการรุนแรง แพทย์จึงค่อยพิจารณาการใช้ยาที่กดการเพิ่มจำนวนของไวรัส คือ Amantadine หรือ Rimantadine

วิธีป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่

  1. สามารถรับวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ได้ที่โรงพยาบาลทั่วไป
  2. รักษาสุขภาพร่างกายให้แข็งแรงอยู่เสมอ ทานอาหารที่มีประโยชน์ ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ และพักผ่อนให้เพียงพอ
  3. หลีกเลี่ยงการเข้าใกล้ผู้ที่เป็นไข้หวัดใหญ่สักระยะ เพื่อป้องการการระบาด และแพร่กระจายของเชื้อไวรัสจากคนหนึ่ง ไปยังอีกคนหนึ่ง
  4. ล้างมือให้สะอาด ก่อนทานอาหาร หรือหยิบจับอาหารขึ้นมาทาน
  5. ผู้ที่เป็นไข้หวัดใหญ่ ควรสวมหน้ากากอนามัย หรือเมื่อจามหรือไอ ควรใช้กระดาษทิชชู่ปิดปาก แล้วขยำทิ้งลงถังขยะ และควรหยุดเรียน หยุดงาน เพื่อรักษาตัวให้หายโดยเร็ว และไม่เป็นการแพร่กระจายเชื้อไวรัสให้คนอื่น

ขอบคุณข้อมูลจาก สำนักระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข, คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล
ภาพประกอบจาก https://th.ac-illust.com

แหล่งที่มา : http://www.cuhc.chula.ac.th/th/archives/87

Categories
บทความ

โรคที่มากับฤดูหนาว ไข้หวัด และไข้หวัดใหญ่

โรคที่มากับฤดูหนาว ไข้หวัด และไข้หวัดใหญ่

ขณะ นี้หลายพื้นที่ของประเทศไทยคงเริ่มสัมผัสกับกลิ่นอายของ “ลมหนาว” ที่พัดโชยเข้ามาทำให้รู้สึกถึงอากาศที่เริ่มหนาวเย็น สำหรับผู้ที่ยังคงประสบภัยน้ำท่วมอยู่นั้นควรเพิ่มความระมัดระวังในการดูแล สุขภาพเป็นกรณีพิเศษ เนื่องจากเป็นบริเวณที่มีความเปียกชื้นสูงกว่าที่อื่น ทำให้เชื้อโรคแพร่กระจายได้ง่าย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสถานที่ที่มีผู้คนอยู่รวมกันเป็นจำนวนมาก เช่น วัด โรงเรียน หรือ ศูนย์อพยพ หากไม่ป้องกันให้ดีแล้วอาจทำให้เกิดโรคระบาดได้ง่าย

จากสถานการณ์น้ำท่วมในปีนี้ รวมถึงอากาศที่แปรปรวนและฤดูฝนที่ยาวนาน ส่งผลให้เราอาจมีช่วงเวลา ที่อุณหภูมิที่ลดต่ำลงหรือมีหน้าหนาวยาวนานกว่าปกติ โรคที่พบได้บ่อยในฤดูหนาวส่วนใหญ่จะเป็นโรค ที่เกิดจากเชื้อไวรัส ได้แก่ โรคไข้หวัด ไข้หวัดใหญ่ โรคปวดบวม โรคหัด โรคหัดเยอรมัน และโรคสุกใส ดังนั้นเรามาเตรียมพร้อมเพื่อป้องกันโรคที่มากับฤดูหนาวกันนะคะ

1. ไข้หวัด (Common Cold)

โรคไข้หวัดเป็นโรคที่เกิดได้ตลอดทั้งปี พบบ่อยในช่วงฤดูฝน ฤดูหนาว หรือช่วงที่อากาศเปลี่ยนแปลง ไข้หวัดเกิดจากเชื้อไวรัสซึ่งมีหลายสายพันธุ์ เมื่อป่วยเป็นไข้หวัดแต่ละครั้งมักเกิดจากเชื้อไวรัสหวัดเพียงชนิดเดียว และเมื่อหายแล้วร่างกายก็จะมีภูมิต้านทานต่อเชื้อชนิดนั้น และเมื่อป่วยเป็นไข้หวัดครั้งใหม่ก็มักจะเกิดจากเชื้อไวรัสหวัดชนิดใหม่ หมุนเวียนกันไปเรื่อยๆ

การติดต่อ

เชื้อไวรัสไข้หวัดที่อยู่ในน้ำมูก น้ำลาย และเสมหะ ติดต่อโดยการไอ หรือหายใจรดกัน หรือจากการสัมผัส เมื่อมีเชื้อหวัดติดที่มือแล้วไปสัมผัสผู้อื่น เชื้อหวัดก็จะติดคนๆ นั้น และเมื่อนำไปขยี้ตาหรือแคะจมูกก็จะเข้าสู่ร่างกายจนกลายเป็นไข้หวัดได้

อาการของโรค

หลังจากเชื้อไวรัสเข้าสู่ร่างกายประมาณ 1 ถึง 3 วัน ก็จะเริ่มแสดงอาการ อาการที่พบบ่อยคือ ไข้ตัวร้อนเป็นพักๆ ครั่นเนื้อครั่นตัว อ่อนเพลีย ปวดศีรษะ เป็นหวัด คัดจมูก น้ำมูกใส จาม คอแห้ง หรือเจ็บคอเล็กน้อย ต่อมน้ำเหลืองบริเวณลำคอโตขึ้น ไอแห้งหรือไอมีเสมหะเล็กน้อยลักษณะสีขาว ถ้าไอมากอาจทำให้เจ็บบริเวณลิ้นปี่ สำหรับผู้ใหญ่อาจไม่มีไข้ มีเพียงอาการคัดจมูก น้ำมูกใส แต่สำหรับเด็กมักมีไข้สูงเฉียบพลัน นอกจากนี้อาจเกิดอาการท้องเดินหรือถ่ายเป็นมูก ถ้ามีอาการเกิน 4 วันอาจพบเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อนทำให้ถ่ายเป็นมูกข้นเหลืองหรือเขียว หรือไอมีเสมหะสีเหลืองหรือเขียว และอาจมีอาการอื่นตามมา

โรคแทรกซ้อนของไข้หวัด

เมื่อป่วยเป็นไข้หวัด ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายจะอ่อนแอลง ทำให้แบคทีเรียที่อยู่ในระบบทางเดินหายใจมีโอกาสแพร่เชื้อร่วมกับเชื้อไวรัส ได้ จึงทำให้เป็นต่อมทอนซิลอักเสบ ไซนัสอักเสบ หูชั้นกลางอักเสบ หลอดลมอักเสบ ปอดอักเสบ สำหรับเด็กเล็กอาจทำให้เกิดอาการชักจากไข้ได้ บางรายเสียงแหบเนื่องจากกล่องเสียงอักเสบ หรือวิงเวียนศีรษะเนื่องจากอวัยวะควบคุมการทรงตัวที่อยู่ภายในหูเกิดการ อักเสบหรือที่เรียกว่า “หวัดลงหู” ซึ่งปกติจะหายได้เองภายใน 3 ถึง 5 วัน โรคแทรกที่รุนแรงมักเกิดกับคนที่พักผ่อนไม่เพียงพอ ตรากตรำงานหนัก หรือขาดอาหาร

เมื่อหายจากไข้หวัดแล้ว ร่างกายจะสร้างภูมิคุ้มกันต่อเชื้อไวรัสไข้หวัดชนิดนั้น แต่เนื่องจากเชื้อไวรัสไข้หวัดมีหลายสายพันธุ์แตกต่างกันตามช่วงเวลา ภูมิคุ้มกันที่ร่างกายสร้างขึ้นจึงมีข้อจำกัด ดังนั้นเราจึงมีโอกาสติดเชื้อไวรัสไข้หวัดสายพันธุ์อื่นได้อีก ทางที่ดีที่สุดคือการป้องกันไม่ให้เป็นไข้หวัดด้วยการดูแลสุขภาพให้แข็งแรง นั่นเอง ส่วน “โรคไข้หวัดใหญ่ (Influenza)” นั้นมีอาการรุนแรงกว่าและมีโอกาสเกิดโรคแทรกซ้อนจนถึงขั้นเสียชีวิตได้ มากกว่าโรคไข้หวัดทั่วไป

2. ไข้หวัดใหญ่ (Influenza)

ไข้หวัดใหญ่เป็นโรคติดเชื้อของระบบทางเดินหายใจอย่างเฉียบพลันที่เกิดจาก เชื้อไวรัสอินฟลูเอนซา (influenza virus) หรือไวรัสไข้หวัดใหญ่ ซึ่งมีหลายสายพันธุ์เช่น เชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์เอ (influenza A) และไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์บี (influenza B) ส่วนไวรัสไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ซี (influenza C) มีความรุนแรงน้อยและเกิดการระบาดเฉพาะในวงจำกัด

เชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่สามารถแพร่ระบาดได้ทั่วโลก โดยเฉพาะช่วงฤดูหนาว โดยแต่ละปีทั่วโลกจะมีผู้ติดเชื้อไข้หวัดใหญ่ สูงถึงร้อยละ 15 ของประชากรทั้งหมด สำหรับประเทศไทยในปี พ.ศ. 2553 สำนักระบาดวิทยาได้รับรายงานผู้ป่วยโรคไข้หวัดใหญ่จำนวนทั้งสิ้น 115,183 ราย คิดเป็นอัตราป่วย 180.82 ต่อประชากรหนึ่งแสนคน อัตราเสียชีวิต 0.2 ต่อประชากรหนึ่งแสนคน และจากข้อมูลย้อนหลัง 10 ปี ตั้งแต่ พ.ศ. 2545 ถึง พ.ศ. 2549 พบว่าจำนวนผู้ติดเชื้อในแต่ละปีลดลงอย่างต่อเนื่อง หลังจากนั้นเริ่มสูงขึ้นเล็กน้อยและกลับมาสูงขึ้นมากในปี พ.ศ. 2552 โดยพบอัตราป่วยถึง 189 ต่อประชากรหนึ่งแสนคน กลุ่มอายุที่พบการติด เชื้อมากที่สุดคือกลุ่มเด็กเล็กที่อายุน้อยกว่า 4 ปี และกลุ่มเสี่ยงที่จะเสียชีวิตหลังจากติดเชื้อไข้หวัดใหญ่ คือ กลุ่มผู้สูงอายุตั้งแต่ 55 ปีขึ้นไป ดังนั้นกลุ่มที่ต้องดูแล สุขภาพเป็นพิเศษเพื่อให้ห่างไกลจากการติดเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ในช่วงหน้า หนาวนี้ก็คือกลุ่มเด็กเล็กซึ่งมีโอกาสติดเชื้อได้ง่าย และกลุ่มผู้สูงอายุซึ่งเมื่อติดเชื้อแล้วอาจมีอาการรุนแรงจึงถึงขั้นเสีย ชีวิตได้

การติดต่อ

เชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ติดต่อทางลมหายใจ ไอ จาม หรือหายใจรดกันในที่ที่มีคนอยู่แออัด เช่น โรงเรียน โรงงาน นอกจากนี้เชื้อไข้หวัดใหญ่สามารถติดต่อทางละอองฝอยของน้ำมูกและน้ำลาย หรือติดต่อจากมือที่มีเชื้อไวรัสอยู่แล้วนำไปสัมผัสที่จมูกหรือปากทำให้ เชื้อเข้าสู่ร่างกายได้

ระยะติดต่อ

ผู้ใหญ่ที่มีเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่อยู่ในร่างกายสามารถแพร่เชื้อสู่ผู้ อื่นได้ตั้งแต่ 1 วันก่อนที่จะมีอาการ และสามารถแพร่เชื้อ ต่อไปได้อีก 3 ถึง 5 วันหลังจากที่มีอาการแล้ว ในขณะที่เด็กที่มีเชื้อไข้หวัดใหญ่อยู่ในร่างกายสามารถแพร่เชื้อได้นานกว่า 7 วัน สำหรับผู้ที่ได้รับเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่แต่ไม่มีอาการก็สามารถแพร่เชื้อใน ช่วงเวลานั้นได้เช่นกัน

อาการของโรคไข้หวัดใหญ่

อาการของโรคไข้หวัดใหญ่จะรุนแรงและป่วยนานกว่าโรคไข้หวัดทั่วไป หลังจากเชื้อเข้าสู่ร่างกายประมาณ 1 ถึง 4 วัน ก็จะเริ่มแสดงอาการ ที่พบบ่อยคือไข้สูงเฉียบพลัน หนาวสั่น ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ อ่อนเพลียมาก และอาจมีอาการคัดจมูก เจ็บคอ ถ้าป่วยอยู่นานอาจมีอาการไอเนื่องจากหลอดลมอักเสบ ผู้ป่วยส่วนใหญ่จะหายเป็นปกติได้ภายใน 1 ถึง 2 สัปดาห์ แต่รายที่มีโรคแทรกซ้อนเช่นโรคปอดอักเสบก็อาจมีอาการรุนแรงจนทำให้เสียชีวิต ได้

ใครบ้างที่เสียงต่อการเสียชีวิตจากโรคไข้หวัดใหญ่

  1. ผู้สูงอายุที่มีอายุตั้งแต่ 65 ปีขึ้นไป
  2. ผู้ที่มีโรคเรื้อรังประจำตัว เช่น โรคปอด โรคหัวใจ โรคไต เบาหวาน ภูมิคุ้มกันบกพร่อง
  3. เด็กที่อายุน้อยกว่า 2 ปี
  4. เด็กที่ทานยาแอสไพรินเป็นเวลานาน
  5. หญิงที่ตั้งครรภ์ในฤดูกาลที่มีไข้หวัดใหญ่ระบาด และมีอายุครรภ์ตั้งแต่ 12 สัปดาห์ขึ้นไป

การป้องกันโรคไข้หวัดและโรคไข้หวัดใหญ่

  • หลีกเลี่ยงการใกล้ชิดกับคนที่ป่วยเป็นไข้หวัด
  • ล้างมือให้สะอาดบ่อยๆ
  • หลีกเลี่ยงการใช้มือสัมผัสใบหน้าของตนเองโดยไม่จำเป็น
  • ดูแลร่างกายให้แข็งแรงอยู่เสมอ ด้วยการพักผ่อนให้เพียงพอ ทานอาหารที่มีประโยชน์ถูกหลักอนามัย และออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
  • โรคไข้หวัดใหญ่สามารถป้องกันได้ด้วยการฉีดวัคซีน ปัจจุบันแนะนำให้ฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ได้ตั้งแต่อายุ 6 เดือนขึ้นไป โดยเฉพาะสำหรับเด็กและผู้สูงอายุ ตลอดจนกลุ่มเสี่ยงที่ได้กล่าวไว้ข้างต้น

การปฏิบัติตัวเมื่อเป็นโรคไข้หวัดและไข้หวัดใหญ่

  • นอนพักผ่อนให้เพียงพอ ห้ามตรากตรำงานหนัก หรือออกกำลังมากเกินไป
  • ดูแลร่างกายให้อบอุ่นเสมอด้วยการสวมเสื้อผ้าที่อบอุ่น หลีกเลี่ยงการถูกฝนหรืออยู่ในที่อากาศเย็น และไม่ควรอาบน้ำเย็น
  • อยู่ในห้องที่อากาศถ่ายเทได้ดี
  • ควรดื่มน้ำมากๆ และหลีกเลี่ยงการดื่มน้ำเย็น ควรดื่มน้ำอุ่นเพื่อสร้างความอบอุ่นให้กับร่างกายและช่วยลดไข้ รวมถึงช่วยทดแทนน้ำที่สูญเสียไปจากไข้สูง
  • ควรรับประทานอาหารอ่อน น้ำข้าว น้ำหวาน น้ำส้ม น้ำผลไม้
  • ใช้ช้อนกลางเมื่อรับประทานอาหารร่วมกับผู้อื่น
  • เช็ดตัวลดไข้บ่อยๆ โดยเฉพาะเด็กเล็กเพราะไข้อาจกระตุ้นให้ชักได้ ควรใช้ผ้าชุบน้ำอุ่นหรือน้ำธรรมดา อย่าใช้น้ำเย็นจัดหรือน้ำแข็งเช็ดตัว
  • สวมผ้าปิดปากและจมูก เพื่อป้องกันการแพร่เชื้อ และหมั่นล้างมือให้สะอาด
  • กลั้วคอบ่อยๆ ด้วยน้ำสะอาด
  • หลีกเลี่ยงการอยู่ใกล้ชิดกับผู้ที่ภูมิต้านทานโรคน้อย เช่น เด็ก ผู้สูงอายุ ผู้ที่มีโรคเรื้อรัง หรือผู้ป่วยที่กินยากดภูมิคุ้มกันอยู่

เพียงเท่านี้ ท่านก็สามารถป้องกันตนเองและคนที่ท่านรักให้ห่างไกลจากโรคไข้หวัดและไข้หวัดใหญ่ได้แล้วค่ะ

ที่มา : ศูนย์วิจัยสุขภาพกรุงเทพ เครือโรงพยาบาลกรุงเทพ

ขอขอบคุณ : ที่ปรึกษาบทความ : นายแพทย์พรเทพ สวนดอก กุมารแพทย์ผู้เชี่ยวชาญโรคติดเชื้อ

 

ที่มา: http://www.bangkokhealth.com/index.php/General-health/3738-Flu-Winter1.html

แหล่งที่มา : https://www.pidst.or.th/A289.html

Categories
บทความ

ดูแลตัวเองอย่างไร…ให้ห่างไกล ‘ไข้หวัดใหญ่’

ดูแลตัวเองอย่างไร…ให้ห่างไกล ‘ไข้หวัดใหญ่’

     เพราะ…ไข้หวัดใหญ่ เป็นเรื่องใกล้ตัวกว่าที่คิด ทำความรู้จักกับโรคไข้หวัดใหญ่ ทำไมต้องฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ทุกปี วัคซีนแต่ละชนิดมีความแตกต่างกันอย่างไร รวมถึงข้อสงสัยต่างๆ เกี่ยวกับวัคซีนไข้หวัดใหญ่ที่หลายคนอยากรู้?


        โรคไข้หวัดใหญ่ สาเหตุจากเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ (Influenza) อย่างเฉียบพลัน สามารถแพร่กระจายจากคนหนึ่งไปสู่อีกคนหนึ่งอย่างง่ายดายเกิดตลอดทั้งปีทั่วโลกและอาจนำไปสู่โรคแทรกซ้อนที่รุนแรง เช่น ปอดอักเสบ และอาจทำให้อาการของโรคที่เป็นอยู่เดิมร้ายแรงขึ้น เช่น หัวใจล้มเหลว เบาหวาน ในประเทศไทยปัจจุบันพบว่ามีผู้ป่วยโรคไข้หวัดใหญ่ ทั่วประเทศกว่า 700,000 – 900,000 รายต่อปี จำนวนผู้ป่วยโรคไข้หวัดใหญ่กำลังมีแนวโน้มสูงขึ้นในช่วงที่ประเทศไทยเข้าสู่ฤดูฝน

 

ใครบ้างเสี่ยงป่วยเป็นไข้หวัดใหญ่
1.สตรีมีครรภ์
2.ผู้ที่สุขภาพอ่อนแอ ภูมิคุ้มกันต่ำ
3.เด็กเล็กอายุน้อยกว่า 2 ปี และผู้สูงอายุเกิน 60 ปีขึ้นไป
4.โรคประจำตัว โดยเฉพาะโรคปอด โรคหัวใจ ภูมิคุ้มกันต่ำ


ไข้หวัดใหญ่

โรคไข้หวัดใหญ่ และ โรคไข้หวัด ต่างกันอย่างไร ?

         ไข้หวัดใหญ่ (influenza) และไข้หวัด (Common cold) มีลักษณะอาการคล้ายคลึงกัน แต่มีความแตกต่างของวิธีการรักษาความรุนแรงของรอยโรค ซึ่งเราสามารถสังเกตได้ คือ


โรคไข้หวัดใหญ่

1.ไข้สูง และนานกว่า 3-4 วัน ขึ้นไป
2.ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อและอ่อนเพลียตามตัวมาก และอาจนานเป็นสัปดาห์
3.มีอาการเจ็บคอ คัดจมูก น้ำมูกไหล ระยะเริ่มแรก
4.ในเด็กสามารถพบอาการท้องเสีย คลื่นไส้อาเจียน
5.พบภาวะแทรกซ้อน เช่น หลอดลมอักเสบ ปอดอักเสบ กล้ามเนื้อหัวใจอักเสบเฉียบพลัน ภาวะร่างกายขาดน้ำ

 

โรคไข้หวัด
1.ไม่มีไข้ หรือ ไข้ต่ำๆ เมื่อทานยาลดไข้ 1-2 วันก็หาย
2.ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อและอ่อนเพลียพบบ้างเล็กน้อย แต่เป็นในระยะสั้นๆ
3.มีอาการเจ็บคอ คัดจมูก น้ำมูกไหล ระยะหลัง
4.ไม่พบอาการท้องเสีย คลื่นไส้อาเจียน
5.ไม่มีภาวะแทรกซ้อนรุนแรง

 

เมื่อสงสัยว่าป่วย ทำอย่างไรดี ?

1.ไปพบแพทย์
2.สวมหน้ากากอนามัย
3.ใช้ผ้า ปิดปากและจมูกทุกครั้งเมื่อ ไอ หรือ จาม
4.ดื่มน้ำอุ่น ๆ
5.ทานยาลดไข้

เรามีวิธีการป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่ อย่างไรบ้าง ?
1.ล้างมือบ่อย ๆ ด้วยน้ำสะอาดและสบู่
2.หลีกเลี่ยงการสัมผัสใกล้ชิดกับผู้ป่วยโรคหวัดหรือไข้หวัดใหญ่
3.สวมหน้ากากอนามัย เมื่ออยู่ในพื้นที่แออัด ผู้คนพลุกพล่าน
4.รับประทานอาหารปรุงสุกใหม่ ใช้ช้อนกลาง
5.เลือกรับประทานอาหารให้ครบทั้ง 5 หมู่
6.นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
7.เสริมภูมิคุ้มกันด้วย วัคซีน ป้องกันไข้หวัดใหญ่

        เสริมภูมิคุ้มกัน สร้างเกราะคุ้มกันโรค ช่วยลดความรุนแรงเมื่อเจ็บป่วย ด้วยการฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่สามารถฉีดได้ในทุกคนที่มีอายุ ตั้งแต่ 6 เดือนขึ้นไป ทั้งนี้การฉีดวัคซีนแนะนำให้ฉีดป้องกันทุกปี ปีละ 1 เข็ม เนื่องจากในทุกปีจะมีการเปลี่ยนแปลงของสายพันธุ์เชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่หลังจากได้รับวัคซีนแล้วร่างกายจะสร้างภูมิคุ้มกันขึ้นภายในร่างกาย

 

Categories
บทความ

ไม่อยากติดโควิด 19 ป้องกันตัวเองอย่างไร

ไม่อยากติดโควิด 19 ป้องกันตัวเองอย่างไร

  • ปัจจุบันการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด19 ถือเป็นวิกฤติด้านสุขภาพครั้งใหญ่ มีการระบาดในวงกว้าง และลุกลามไปทั่วทุกภูมิภาคของโลก โดยเชื้อโควิด19 สามารถเข้าสู่ร่างกายของคนเราได้ 2 วิธี

    วิธีที่ 1 การแพร่กระจายผ่านสารคัดหลั่งของผู้ติดเชื้อ ได้แก่ น้ำมูก น้ำลาย หรือเสมหะ เมื่อผู้ติดเชื้อพูดหรือไอ จาม จะเกิดละอองฝอยของน้ำมูกน้ำลายกระจายออกมา หากผู้ที่อยู่ใกล้สูดหายใจเข้าไป ก็จะนำเชื้อเข้าสู่ร่างกาย ซึ่งละอองฝอยที่เกิดจากทางเดินหายใจ มีระยะการกระจายประมาณ 1 เมตร

    วิธีที่ 2 เกิดจากการที่ผู้ติดเชื้อนำมือไปสัมผัสกับสารคัดหลั่ง ได้แก่ น้ำมูก น้ำลาย หรือเสมหะของตนเอง จึงมีเชื้อปนเปื้อนอยู่ที่มือ เมื่อผู้ติดเชื้อใช้มือจับสิ่งของต่าง ๆ หรือในพื้นที่สาธารณะ เชื้อไวรัสจึงปนเปื้อนอยู่ตามผิวสัมผัสของสิ่งของเหล่านั้น เมื่อผู้อื่นนำมือไปสัมผัสสิ่งของเหล่านั้น และนำมือมาสัมผัสใบหน้า ปาก ตา จมูก ก็จะทำให้เกิดการติดเชื้อได้

    เพื่อความปลอดภัยของตัวเอง และผู้อื่น เราสามารถป้องกันการติดเชื้อโควิด19 ด้วยการปฏิบัติตัวตามมาตรการป้องกันโควิด19 ดังต่อไปนี้

    1. สวมหน้ากากอนามัย หรือหน้ากากผ้าทุกครั้งที่ต้องพบปะผู้คน เมื่อต้องออกจากบ้าน หรืออยู่ในพื้นที่แออัด เพื่อป้องกันเชื้อโรคจากคนอื่นมาติดเรา หรือเมื่อท่านมีอาการป่วย เพื่อป้องกันเชื้อโรคจากเรา ที่อาจจะไปติดผู้อื่นได้
    2. ล้างมือบ่อย ๆ โดยเฉพาะก่อนรับประทานอาหาร ก่อนสัมผัสบริเวณใบหน้า ตา จมูก ปาก หลังเข้าห้องน้ำ หลังปิดปาก เมื่อไอ จาม โดยควรล้างมือด้วยน้ำและสบู่ให้ถูกวิธี โดยใช้เวลาในการล้างมืออย่างน้อย 20 วินาที หรือล้างมือด้วยแอลกอฮอล์เจล
    3. หลีกเลี่ยงการสัมผัสใบหน้า ปาก จมูก ตา หู หากยังไม่ได้ล้างมือ เพราะอาจจะทำให้เชื้อโรคโควิด19 เข้าสู่ร่างกายได้
    4. หลีกเลี่ยงสถานที่ที่มีผู้คนแออัด
    5. เว้นระยะห่างจากผู้อื่น 1-2 เมตร
    6. ควรไอ จามอย่างถูกวิธี โดยใช้กระดาษทิชชู่ ปิดปาก ปิดจมูก เมื่อจะไอ หรือจาม แล้วทิ้งกระดาษลงถังขยะให้เรียบร้อย หรือไอจามใส่ข้อพับแขนหากไม่มีกระดาษทิชชู่
    7. ทำความสะอาดเครื่องใช้ อุปกรณ์ภายในบ้าน หรือที่ทำงาน รวมถึงจุดสัมผัสต่าง ๆ ที่มีการสัมผัสร่วมกันกับผู้อื่นบ่อยๆ
    8. ใช้แอพพลิเคชั่น หมอชนะ หรือไทยชนะ

    การปฏิบัติตัวให้ปลอดภัยเมื่อต้องออกไปชอปปิ้ง หรือซื้อของช่วงโควิด19

    1. ต้องสวมหน้ากากอนามัย หรือหน้ากากผ้าตลอดเวลา
    2. เลือกเข้าร้านที่มีระบบระบายอากาศที่ดี คนไม่หนาแน่น
    3. วัดไข้ และลงทะเบียนเช็คอิน เมื่อเข้าหรือออกจากร้าน
    4. เข้าคิวตามที่ร้านกำหนด และเว้นระยะห่างระหว่างบุคคล 1-2 เมตร
    5. สวมถุงมือพลาสติก หากทางร้านจัดไว้ให้สำหรับหยิบจับสิ่งของ และควรใช้ครั้งเดียวแล้วทิ้ง
    6. ล้างมือเมื่อจับจุดสัมผัสร่วมกับผู้อื่น เช่น ลูกบิดประตู ปุ่มลิฟต์
    7. เลือกชำระเงินด้วยระบบ E-Payment
    8. ควรใช้เวลาในการช้อปปิ้งหรือซื้อของให้น้อยที่สุด

    สิ่งที่ต้องทำเมื่อกลับถึงบ้าน เพื่อให้บ้านปลอดโควิด19

    1. เมื่อกลับถึงบ้าน ควรถอดรองเท้าไว้นอกบ้าน เพราะรองเท้าอาจจะเหยียบติดสารคัดหลั่งจากภายนอกเข้ามาได้
    2. ถอดหน้ากากอนามัย พับทิ้งลงถังขยะภายนอกบ้าน หรือถังขยะที่ปิดมิดชิดหรือหากสวมหน้ากากผ้า ควรซักทำความสะอาดทุกวัน
    3. ล้างมือก่อนเปิดประตูบ้าน เพื่อป้องกันเชื้อโรคที่อาจติดมากับมือ
    4. เช็ดกระเป๋า กุญแจ หรือเครื่องใช้ส่วนตัวต่าง ๆ ที่อาจะนำไปวางตามพื้นที่สาธารณะ
    5. ห้ามนั่งเก้าอี้ หรือโซฟาก่อนอาบน้ำ
    6. แยกซักเสื้อผ้าที่ใส่นอกบ้านกับในบ้านออกจากกัน
    7. อาบน้ำ สระผม เปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่

    รับผิดชอบต่อสังคมด้วยการรับผิดชอบต่อตัวเอง เพื่อหยุดการแพร่เชื้อโควิด19

Categories
บทความ

เด็กกับโรคโควิด-19

เด็กกับโรคโควิด-19

  • พบเด็กประมาณร้อยละ 13 ของผู้ป่วยทั้งหมด ติดเชื้อ SARS-CoV-2 ที่ก่อให้เกิดโรค COVID-19 แต่ส่วนใหญ่จะมีอาการไม่รุนแรงหรือไม่มีอาการ
  • เด็กที่มีภาวะอ้วน เป็นโรคเบาหวาน โรคหอบหืด โรคหัวใจพิการแต่กำเนิด โรคพันธุกรรมเมตาบอลิก หรือภาวะความผิดปกติทางระบบประสาท มีโอกาสเกิดอาการป่วยแทรกซ้อนที่รุนแรงได้
  • แม้ในช่วงที่โรคโควิด-19 ระบาด ก็ควรพาเด็กไปรับการตรวจสุขภาพและรับวัคซีนตามนัด โดยเฉพาะเด็กอายุต่ำกว่า 2 ขวบ โดยเลือกรับบริการเฉพาะสถานพยาบาลที่แยกบริเวณเด็กป่วยกับเด็กไม่ป่วยออกจากกัน ไม่ให้ปะปนกันอย่างชัดเจน

ช่วงนี้อาจเห็นข่าวเด็กติดเชื้อ SARS-CoV-2 เยอะขึ้นพอสมควร พ่อแม่หลายคนมีความกังวลใจว่าจะดูแลลูกๆ อย่างไรไม่ให้มีความเสี่ยงหรือติดโรค COVID-19 หรือหากเรื่องร้ายแรงไปถึงขั้นที่ว่า หากเด็กเกิดการติดเชื้อแล้ว จะมีอาการรุนแรงหรือไม่ หรือต้องทำอย่างไรต่อไป แพทย์ผู้ชำนาญการด้านโรคติดเชื้อมีคำแนะนำมาให้เพื่อคลายข้อกังวลใจสำหรับคุณพ่อคุณแม่ ดังนี้

อัตราการติดโรค COVID-19 ของเด็กๆ

ในสถานการณ์การระบาดของโรค COVID-19 ตลอด 1 ปีที่ผ่านมา พบเด็กที่ติดเชื้อ SARS-CoV-2 ที่ก่อให้เกิดโรค COVID-19 ประมาณร้อยละ 13 ของผู้ป่วยทั้งหมด แต่ส่วนใหญ่จะมีอาการไม่รุนแรงหรือไม่มีอาการเลย และพบน้อยมากที่เด็กติดเชื้อแล้วมีอาการรุนแรงและต้องรับการรักษาในหอผู้ป่วยวิกฤตหรือใช้เครื่องช่วยหายใจ แต่อย่างไรก็ตาม เด็กก็มีแนวโน้มที่จะเกิดอาการรุนแรงหรือมีภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงได้ หากผู้ป่วยเด็กคนนั้นมีภาวะอ้วน เป็นโรคเบาหวาน โรคหอบหืด โรคหัวใจพิการแต่กำเนิด โรคพันธุกรรมเมตาบอลิก หรือภาวะผิดปกติทางระบบประสาท

ส่วนในเด็กเล็กที่อายุต่ำกว่า 1 ขวบ หากติดโควิด-19 จะมีอาการมากกว่าเด็กโต เนื่องจากระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายยังพัฒนาได้ไม่ดีพอและช่องทางเดินหายใจยังมีขนาดเล็ก พูดให้เห็นภาพชัดขึ้นก็คือ มีลักษณะเหมือนเด็กที่เป็นโรคไข้หวัดใหญ่ ซึ่งจะมีปัญหาของระบบทางเดินหายใจ ส่วนเด็กที่ได้รับวัคซีนป้องกันการติดเชื้อแบคทีเรียที่รุนแรงก็จะป้องกันได้เฉพาะเชื้อที่ฉีดวัคซีนป้องกันไปเท่านั้น

เด็กติดเชื้อก่อโรค COVID-19 ได้อย่างไร

สภาพแวดล้อมที่เด็กจะติดเชื้อ SARS-CoV-2 ได้ ก็ไม่ต่างจากในผู้ใหญ่  นั่นก็คือ การอยู่ใกล้ชิดผู้ป่วยหรือผู้ติดเชื้อ อยู่ในพื้นที่ที่มีผู้คนรวมกันอยู่มาก พบปะผู้คนโดยไม่มีการป้องกันโรค ไม่สวมหน้ากากอนามัย ไม่ทำความสะอาดร่างกาย ไม่รักษาระยะห่าง ผู้ที่อยู่ใกล้ชิดผู้ติดเชื้อทั้งที่มีและไม่มีอาการ ก็อาจติดเชื้อได้หากไม่มีการป้องกันการติดเชื้อที่เหมาะสมและดีพอ ไม่เว้นแม้แต่พ่อแม่ก็อาจติดเชื้อจากลูกที่ป่วยได้

วิธีป้องกันโรค COVID-19 ในเด็ก

ทั้งนี้ องค์การอนามัยโลก (WHO) และศูนย์ป้องกันและควบคุมโรคแห่งสหรัฐอเมริกา (CDC) ได้ให้คำแนะนำแนวทางสำหรับครอบครัวที่มีลูกเล็กในการป้องกันการแพร่เซื้อไวรัส SARS-CoV-2 ที่ก่อโรค COVID-19 จากเด็กที่ติดเชื้อไปสู่บุคคลอื่นไว้ ดังนี้

การดูแลและล้างมือให้สะอาดอยู่เสมอ (Keep your Hands Clean)

  • สอนเด็กให้รู้จักล้างมืออย่างถูกต้องตามมาตรฐาน  7 ขั้นตอน
  • หมั่นล้างมือบ่อยๆ ด้วยน้ำและสบู่อย่างถูกวิธี นานอย่างน้อย 20 วินาที หรือใช้แอลกอฮอล์ล้างมือที่มีความเข้มข้นของแอลกอฮอล์ไม่ต่ำกว่า 70%
  • ปฏิบัติตัวให้ถูกสุขลักษณะ ไอ/จามต้องปิดปากและจมูกด้วยการงอศอก หรือใช้กระดาษชำระปิด จากนั้นนำไปทิ้งในที่ที่เหมาะสม และล้างมืออีกครั้งเพื่อทำความสะอาด
  • หลีกเลี่ยงการเอามือสัมผัสบริเวณ ตา จมูก ปาก
  • ให้เด็กล้างมือด้วยน้ำและสบู่ทันทีที่กลับเข้าบ้าน หลังใช้ห้องสุขา และก่อนรับประทานอาหาร รวมถึงพ่อแม่ต้องดูแลความสะอาดก่อนจัดเตรียมอาหารด้วย

การเว้นระยะห่าง (Practice Social Distancing)

  • หลีกเลี่ยงการอยู่ใกล้ชิดกับบุคคลอื่นในบ้าน ทั้งเด็กและสมาชิกในบ้าน
  • ให้เว้นระยะห่าง 6 ฟุตหรือ 1 เมตร กับบุคคลอื่นที่ไม่ได้อยู่ในบ้าน
  • กรณีมีเด็กคนอื่นมาที่บ้าน ควรให้เด็กเล่นกันนอกบ้าน และเว้นระยะห่าง 6 ฟุต
  • หลีกเลี่ยงกิจกรรมที่มีการใช้ของเล่นหรืออุปกรณ์ร่วมกัน เช่น ลูกฟุตบอล บาสเก็ตบอล ฯลฯ

การทำความสะอาดและฆ่าเชื้อภายในบ้าน (Clean and Disinfected your Home)

  • ใช้สบู่กับน้ำสะอาด หรือแอลกอฮอล์ที่มีความเข้มข้นของแอลกอฮอล์ไม่ต่ำกว่า 70% หรือน้ำยาที่มีฤทธิ์ฆ่าเชื้อได้ เช่น น้ำยาซักผ้าขาวที่มีส่วนผสมของ Sodium Hypochlorite โดยผสมกับน้ำในอัตราส่วนที่ถูกต้อง เช็ดทำความสะอาดบริเวณดังต่อไปนี้
    • พื้นผิวบริเวณที่มีการใช้ร่วมกันทุกวันและบริเวณที่มีการสัมผัสบ่อย เช่น ผ้าปูโต๊ะ ลูกบิดประตู มือจับประตู เก้าอี้ สวิตช์ไฟ  รีโมทคอนโทรล เครื่องใช้ไฟฟ้า หน้าต่าง โต๊ะ ห้องน้ำ อ่างล้างมือ เป็นต้น
    • บริเวณที่สกปรกได้ง่าย เช่น โต๊ะเปลี่ยนผ้าอ้อม โต๊ะอาหาร
    • พื้นผิวบริเวณที่เด็กสัมผัสบ่อยๆ เช่น ขอบเตียงนอน โต๊ะวางของเล่น หรือของเล่นต่างๆ โดยเฉพาะของเล่นเด็กชนิดที่เด็กอาจหยิบใส่ปากได้ ให้ทำความสะอาดโดยใช้สบู่และน้ำสะอาด และระวังอย่าให้มีคราบสบู่ตกค้าง
  • ในกรณีที่จำเป็นจะต้องดูแลเด็กที่ติดเชื้อ COVID-19 ให้พ่อแม่ผู้ปกครองล้างมือทุกครั้งหลังจับต้องสิ่งของและของเล่นที่เด็กใช้ รวมถึงหลังเปลี่ยนผ้าอ้อมหรือผ้าปูเตียงเด็ก เพื่อหลีกเลี่ยงการสัมผัสเชื้อ และควรรักษาระยะห่าง ใส่หน้ากากอนามัยอยู่เสมอ

การสวมใส่หน้ากากอนามัย (Wear Face Mask)

  • แนะนำให้สวมหน้ากากอนามัยทุกครั้งเมื่อออกนอกบ้าน หรือไปในที่สาธารณะ หลีกเลี่ยงการอยู่ใกล้ชิดบุคคลอื่น
  • แนะนำให้เด็กอายุ 2 ขวบขึ้นไปสวมหน้ากากอนามัย เมื่อต้องอยู่ท่ามกลางบุคคลอื่นที่ไม่ใช่คนในครอบครัว
  • ไม่แนะนำให้เด็กอายุต่ำกว่า 2 ขวบ หรือเด็กที่มีปัญหาด้านการหายใจ รวมถึงเด็กที่อยู่ในสภาพที่ถอดหน้ากากเองไม่ได้ สวมหน้ากากอนามัย เนื่องจากระบบทางเดินหายใจของเด็กยังพัฒนาไม่เต็มที่ เด็กอาจขาดออกซิเจนและเป็นอันตรายได้ ควรใช้การเว้นระยะห่างอย่างต่ำ 2 เมตร หรือเอาผ้าคลุมรถเข็นที่มีเด็กนอนอยู่แทน

ที่สำคัญที่สุดคือ ควรพาเด็กไปรับการตรวจสุขภาพและรับวัคซีนตามนัด โดยเฉพาะเด็กอายุต่ำกว่า 2 ขวบ โดยเลือกรับบริการเฉพาะสถานพยาบาลที่แยกบริเวณเด็กป่วยกับเด็กไม่ป่วยออกจากกัน ไม่ให้ปะปนกันอย่างชัดเจน

การเตรียมตัวและผลข้างเคียง กรณีรับวัคซีนโควิด-19 (Pfizer)

โรงพยาบาลเด็กสมิติเวช ให้ความร่วมมือกับสถาบันการศึกษา ฉีดวัคซีนโควิด-19 สร้างภูมิคุ้มกันให้แก่เด็กๆ ตามนโยบายของกระทรวงศึกษาธิการและกระทรวงสาธารณสุข ให้กับเด็กนักเรียนอายุ 12-18 ปี ต้องเตรียมตัวก่อนฉีดวัคซีน Pfizer อย่างไร และผลข้างเคียงจากการฉีดวัคซีน Pfizer ในเด็ก อาจทำให้มีอาการอย่างไรบ้าง อาการแบบไหนที่ควรรีบมาพบแพทย์ทันที อ่านเพิ่มเติมในภาพด้านล่าง

เด็กไม่ได้ฉีดวัคซีนโควิด-19  ต้องทำอย่างไร แล้ววัคซีนในเด็กที่ควรฉีดในช่วงนี้มีอะไรบ้าง

เด็กๆ ถึงจะยังไม่ได้รับวัคซีน COVID-19 แต่วัคซีนของเด็กๆ เองก็จะช่วยสร้างภูมิคุ้มกันให้เด็กๆ มีร่างกายที่เเข็งแรง ต่อสู้กับเชื้อโรคได้  ซึ่งมีทั้ง วัคซีนป้องกันโรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบ ​Hib , วัคซีนป้องกันโรคปอดอักเสบ Pneumococcal ​vaccine และวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ Influenza vaccine

สุดท้ายนี้ พ่อ แม่ ผู้ใหญ่ในบ้านควรปฏิบัติตามมาตรการป้องกันโรค COVID-19 เพื่อเป็นตัวอย่างที่ดีให้เด็กๆ สามารถทำตามได้

Categories
บทความ

โควิดสายพันธุ์ใหม่ XBB.1.16 ล่าสุด ปี 2566 เป็นอย่างไร

โควิดสายพันธุ์ใหม่ XBB.1.16 ล่าสุด ปี 2566 เป็นอย่างไร

ฤดูร้อน ปี 2566 ล่าสุดนี้ ยังมีการแพร่กระจายของเชื้อไวรัสโควิดสายพันธุ์ใหม่ ซึ่งเป็นลูกผสมจากโอมิครอนอย่าง XBB.1.16 (Arcturus) โดยเฉพาะช่วงเทศกาลสงกรานต์ที่ผ่านมา ผู้คนออกเดินทางไปพบปะสังสรรค์กันมากขึ้น รวมทั้งชาวต่างชาติที่เข้ามาในประเทศไทย เจ้าหน้าที่ผู้เชี่ยวชาญด้านสาธารณสุขจึงติดตามเฝ้าระวัง

 

โควิดสายพันธุ์ใหม่ XBB.1.16 คืออะไร

 

เป็นเชื้อไวรัส SARS-CoV-2 สายพันธุ์ XBB จากลูกผสมตระกูล Omicron BA.2.10.1 และ BA.2.75 มีรายงานการค้นพบครั้งแรกที่ประเทศอินเดีย เมื่อเดือนมกราคม 2566 องค์การอนามัยโลกจัดเป็นเชื้อที่ต้องเฝ้าติดตาม การกลายพันธุ์เกิดขึ้นที่บริเวณ 483 ระดับภูมิตอบสนองชนิด Neutralizing Antibody ลดลง จึงเพิ่มความสามารถในการแพร่เชื้อหรือก่อโรค แต่ยังไม่มีหลักฐานงานวิจัยใดที่อ้างถึง XBB.1.16 จะก่อความรุนแรง

 

XBB.1.16

 

โควิดสายพันธุ์ใหม่ XBB.1.16 อาการล่าสุดเป็นอย่างไร
  • อุณหภูมิในร่างกายสูง
  • มีไข้สูง
  • ระคายเคืองดวงตา ใบหน้า
  • ไอ
  • เจ็บคอ
  • น้ำมูกไหล
  • การรับกลิ่นของจมูกผิดปกติ
  • สำหรับต่างประเทศมีรายงานผู้ติดเชื้อเยื่อบุตาอักเสบ

 

อาการติดโควิด-19

โควิดสายพันธุ์ XBB.1.16 และ XBB.1.5
  • โควิดสายพันธุ์ XBB.1.5 จะแตกต่างจาก XBB.1.16 ตรงที่ตำแหน่งการกลายพันธุ์บนโปรตีนหนาม F846P เพียงอย่างเดียว เป็นลูกผสมของโอมิครอน Bj.1 และ BM.1.1.1 การกระจายแพร่เชื้อมีความเป็นไปได้ที่จะไวน้อยกว่าเพียงเล็กน้อยและการหลบภูมิคุ้มกันก็เช่นเดียวกัน
  • สำหรับสิ่งที่คล้ายคลึงกัน คือ อาการความรุนแรงที่เจ้าหน้าที่สาธารณสุขยังหาข้อสรุปไม่ได้ ส่งผลกระทบต่อระบบหายใจ มีการประกาศเปิดเผยในช่วงเดือนมีนาคมที่ผ่านมา มีการส่งข้อมูลจากหน่วยงานต่างๆ ในไทยที่ถอดรหัสพันธุกรรมเข้าสู่ระบบฐานข้อมูลรหัสพันธุกรรมโควิดโลก (GISAID) ผ่าน Outbreak.info ร่วมกับองค์การอนามัยโลกพบว่า XBB.1.5 สายพันธุ์หลักในประเทศไทยที่ต้องเฝ้าระวัง

 

XBB.1.5

 

ผู้ที่มีความเสี่ยงได้รับอันตรายจากโควิดสายพันธุ์ใหม่ XBB.1.16
  • อายุ 60 ปีขึ้นไป
  • อาศัยอยู่ในพื้นที่ความหนาของฝุ่น PM 2.5
  • ผู้ป่วยโรคประจำตัว ได้แก่ โรคทางเดินหายใจเรื้อรัง หัวใจและหลอดเลือด ไตวายเรื้อรัง หลอดเลือดสมอง โรคอ้วน มะเร็ง เบาหวาน
  • คุณแม่ตั้งครรภ์อายุ 12 สัปดาห์ขึ้นไป
  • ผู้ที่ยังไม่ได้รับการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19
  • บุคคลที่ไม่เคยติดเชื้อโควิด-19 มาก่อน

 

ทั้งหมดที่กล่าวมานี้ หากตรวจพบเชื้อ ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อรับการรักษาและยาต้านไวรัสทันที หากปล่อยปละละเลยอาจมีอาการรุนแรงได้

 

ฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19

 

การตรวจ ATK และ RT-PCR สามารถพบเชื้อ XBB.1.16 โควิดสายพันธุ์ลูกผสมได้ไหม

ชุดทดสอบทั้ง 2 ชนิดนี้ สามารถคัดกรองเชื้อไวรัสที่ก่อโควิด-19 รวมทั้งวินิจฉัย แยกผู้ติดเชื้อสายพันธุ์โอมิครอน หรือลูกผสมได้ แต่การตรวจ Antigen Test Kit ใช้หลักทดสอบทางภูมิคุ้มกัน โดยจับแอนติเจน แอนติบอดี และโปรตีน N ไม่ส่งผลกระทบใด ๆ ต่อการกลายพันธุ์ที่บริเวณบนโปรตีนหนาม

การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ลูกผสมชนิดนี้ ยังไม่พบความรุนแรงถึงแก่ชีวิต ทั้งนี้ในการเสพข่าวสารไม่ควรตระหนก วิตกกับสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้น โดยเฉพาะในผู้ที่ได้รับวัคซีน mRNA เข็มกระตุ้นแล้ว จะช่วยลดโอกาสเกิดโรครุนแรงหากติดเชื้อได้มาก

Categories
บทความ

รู้ทัน…ไข้หวัดใหญ่ (Influenza)

รู้ทัน...ไข้หวัดใหญ่ (Influenza)

      ไข้หวัดใหญ่ พบได้ในทุกช่วงอายุซึ่งมักพบในเด็ก แต่อัตราการเสียชีวิตเกิดกับผู้ป่วยที่มีอายุมากกว่า 65 ปี หรือผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่นโรคหัวใจ โรคปอด โรคไต เป็นต้น การฉีดวัคซีนเป็นวิธีป้องกันที่ได้ผลมากที่สุด สามารถลดอัตราการติดเชื้อ ลดอัตราการนอนโรงพยาบาล ลดโรคแทรกซ้อน และลดเวลาการหยุดงาน

ไข้หวัดทั่วไป เป็นการติดเชื้อไวรัส ทำให้เกิดอาการน้ำมูกไหล มีไข้ต่ำ ส่วนไข้หวัดใหญ่เป็นการติดเชื้อที่เรียกว่า Influenza virus เป็นการติดเชื้อของระบบทางเดินหายใจ ซึ่งอาจจะลามลงปอด ผู้ป่วยจะมีอาการค่อนข้างเร็ว ไข้สูงกว่าไข้หวัด ปวดศีรษะอย่างรุนแรง ปวดกล้ามเนื้อ อ่อนเพลีย อย่างเฉียบพลัน

การติดเชื้อ ติดต่อได้โดย

  • เชื้อไข้หวัดใหญ่ สามารถติดต่อจากคนหนึ่งไปอีกคนหนึ่งโดยการหายใจ ได้รับน้ำมูก หรือเสมหะของผู้ป่วย โดยเชื้อจะผ่านเข้าทางเยื่อบุตา จมูก และปาก
  • การได้สัมผัสสิ่งปนเปื้อนเชื้อโรค เช่น ผ้าเช็ดหน้า ช้อน แก้วน้ำ การจูบ เป็นต้น
  • การที่มือไปสัมผัสเชื้อแล้วขยี้ตา หรือเข้าปาก


อาการของโรค

ไข้หวัดใหญ่ที่ไม่มีโรคแทรกซ้อน ระยะฟักตัว 1 – 4 วัน โดยเฉลี่ย 2 วัน

1. ผู้ป่วยจะมีอาการอ่อนเพลียอย่างเฉียบพลัน
2. เบื่ออาหาร คลื่นไส้
3. ปวดศีรษะอย่างรุนแรง
4. ผู้ป่วยไข้หวัดใหญ่จะปวดตามแขน ขา ปวดข้อ ปวดรอบตา ปวดเมื่อยตามตัว
5. ไข้สูง 39-40 องศา
6. เจ็บคอ และคอแดง มีน้ำมูกใสๆ ไหล
7. ไอแห้งๆ ตามตัวจะร้อนแดง ตาแดง
8. อาเจียน หรือท้องเดิน เป็นไข้ 2-4 วัน แล้วค่อยๆ ลดลง แต่อาการคัดจมูกและแสบคอยังคงอยู่ โดยทั่วไปจะหายใน 1 สัปดาห์

  1. สำหรับรายที่อาการรุนแรง มักเกิดในผู้ป่วยที่มีโรคเรื้อรังอยู่ก่อน ซึ่งจะเกิดโรคแทรกซ้อนที่ระบบอื่นๆ ด้วยเช่น
  • พบอาการอักเสบของเยื่อหุ้มหัวใจ ผู้ป่วยจะมีอาการเจ็บหน้าอก เหนื่อย หอบ หรือมีอาการหัวใจวาย
  • ระบบประสาท พบเยื่อหุ้มสมองอักเสบ ผู้ป่วยจะปวดศีรษะมาก และซึมลง
  • ระบบหายใจ:มีหลอดลมอักเสบและปอดบวม ผู้ป่วยจะแน่นหน้าอก และเหนื่อย
  • โดยทั่วไปไข้หวัดใหญ่มักจะหายในไม่กี่วัน แต่ก็มีผู้ป่วยบางราย มีอาการไอ และปวดตามตัวนานถึง 2 สัปดาห์ ในรายที่เสียชีวิตมักมีอาการปอดบวม และโรคหัวใจ

 

ระยะติดต่อ

  • ระยะเวลาการติดต่อของผู้ป่วยไข้หวัดใหญ่จากคนอื่นๆ คือ1วันก่อนเกิดอาการ และ 5 วันหลังมีอาการ
  • ในเด็กอาจจะแพร่เชื้อ 6 วันก่อนมีอาการ และแพร่เชื้อได้นาน 10 วัน
  • ติดเชื้อแบคทีเรีย อาจจะทำให้ปอดบวม มีฝีในปอด มีหนองในช่องเยื่อหุ้มปอด
  • ไข้หวัดในหญิงตั้งครรภ์ มักเป็นชนิดรุนแรงและมีอาการมาก และอาจทำให้แท้งบุตรได้

 

เมื่อไร ที่ควรมาพบแพทย์

  • มีไข้เกิน 24 ชั่วโมง
  • ให้ยาลดไข้แล้วยังเกิน 5 องศา
  • หายใจหอบ หรือหายใจลำบาก
  • มีอาการ มากกว่า 7 วัน
  • ปลายมือ ปลายเท้าเขียว
  • เด็กดื่มน้ำ หรือรับประทานอาหารไม่พอ
  • เด็กซึมลง ไม่เล่น
  • เด็กไข้ลดลง แต่หายใจไม่ออก

ผู้ใหญ่ที่เป็นไข้หวัดใหญ่ ควรมาพบแพทย์

  • หายใจหอบ หรือหายใจลำบาก
  • มีไข้เกิน 24-48 ชั่วโมง’
  • เจ็บ หรือแน่นหน้าอก
  • หน้ามืด เป็นลม สับสน หน้ามืด
  • อาเจียน รับประทานอาหารไม่ได้


การป้องกันไข้หวัดใหญ่

             ล้างมือบ่อยๆ หลีกเลี่ยงการเอามือเข้าปาก หรือขยี้ตา อย่าใช้ของส่วนตัวร่วมกับผู้อื่นๆ เช่น ผ้าเช็ดหน้า แก้วน้ำ หลีกเลี่ยงการสัมผัสใกล้ชิด เมื่อเวลาเจ็บป่วยให้พักที่บ้าน เวลาไอ หรือจามให้ใช้ผ้าปิดปาก และจมูก

การฉีดวัคซีน ป้องกันไข้หวัดใหญ่
การป้องกันที่ดีคือ การฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ ซึ่งเป็นวัคซีนที่ทำมาจากเชื้อที่ตายแล้ว โดยฉีดที่แขนปีละครั้ง หลังฉีด 2 สัปดาห์ภูมิคุ้มกันจึงจะสูงพอที่จะป้องกันการติดเชื้อ ผู้ที่มีประวัติแพ้สารโปรตีนประเภทไข่ ห้ามฉีดวัคซีนชนิดนี้ การฉีด จะเลือกผู้ป่วยที่เสี่ยงต่อโรคแทรกซ้อน คือ

  • ผู้ที่มีอายุมากกว่า 50 ปี
  • ผู้ที่มีโรคเรื้อรังประจำตัว เช่น โรคไต โรคหัวใจ โรคตับ
  • ผู้เป็นเบาหวาน
  • หญิงตั้งครรภ์ 3เดือนขึ้นไป และมีการระบาดของไข้หวัดใหญ่
  • ผู้ที่อาศัยในบ้านพักคนชรา
  • เจ้าหน้าที่สาธารณสุขที่ดูแลผู้ป่วยโรคเรื้อรัง
  • สมาชิกในครอบครัวที่เป็นโรคเรื้อรัง
  • นักเรียนที่อยู่ร่วมกัน
  • ผู้ที่จะไปเที่ยว หรือศึกษาต่อ ณ แหล่งระบาดของไข้หวัดใหญ่
  • ผู้ที่ต้องการลดอัตราการติดเชื้อ และต้องได้รับวัคซีน

 

ผลข้างเคียงของวัคซีนไข้หวัดใหญ่ ที่ควรทราบ
            เจ็บเล็กน้อยบริเวณที่ฉีด และจะหายภายใน 2 วัน อาการทั่วไป มีไข้ ปวดตามตัว และหลังจากการฉีดยา  6-12 ชั่วโมง และอยู่ได้นาน 1-2 วัน บางรายอาจมีผื่นลมพิษ ริมฝีปากบวม

Categories
บทความ

วิธีการล้างจมูกด้วยน้ำเกลือ

วิธีการล้างจมูกด้วยน้ำเกลือ

อาการคัดจมูกและมีน้ำมูกมาก จะพบได้ในผู้ป่วยที่เป็นโรคภูมิแพ้และเป็นโรคโพรงไซนัสอักเสบ อาการดังกล่าวสามารถที่จะรักษาได้ โดยการล้างจมูกด้วยน้ำเกลือ  น้ำเกลือที่ผ่านเข้าไปในจมูกจะชะล้างน้ำมูก หนอง และสารที่ไม่ต้องการออกจากโพรงจมูก ทำให้ผู้ป่วยหายใจได้สะดวกขึ้นและหายจากโรคได้เร็วขึ้น

          วิธีการ

  1. เตรียมน้ำเกลือโดยใช้น้ำต้มสุก หรือน้ำสะอาดสำหรับดื่มปริมาณ 500 ซีซี ใส่เกลือสะอาดประมาณ 1 ช้อนชา เขย่าผสมเข้ากันให้หรือ ใช้น้ำเกลือความเข้มข้น 9% หรือน้ำเกลือของสำหรับล้างจมูก ซึ่งหาซื้อได้จากโรงพยาบาลหรือตามร้านขายยา
  2. เทน้ำเกลือที่ผสมแล้วลงในแก้วสะอาดแล้วใช้กระบอกฉีดยาขนาด 10-20 ซีซี ดูดน้ำเกลือเข้าไปให้เต็ม
  3. ยืนใกล้อ่างน้ำ ก้มหน้าเล็กน้อยสอดกระบอกฉีดยาเข้าไปในรูจมูก พ่นน้ำเกลือเข้าในจมูกขณะที่กลั้นหายใจ น้ำเกลือจะถูกพ่นเข้าไปสู่โพรงจมูกแล้วไหลออกมาข้างเดียวกัน หรือออกมาจากรูจมูกอีกข้างหนึ่งหรืออาจจะไหลลงคอ บางครั้งอาจจะมีหนองไหลออกมาด้วย ทำทั้ง 2 ข้างล้างจนกว่าไม่มีน้ำมูกเหลือค้างในจมูกอาจจะแสบจมูกเล็กน้อย

 

หมายเหตุ

  1. หลังจากที่ล้างจมูกแล้ว ผู้ป่วยอาจจะจาม และมีน้ำมูกไหลออกมาอีกได้ ให้สั่งน้ำมูกให้หมด (หรือล้างจมูกอีกครั้งหนึ่ง) แล้วพ่นยา พ่นจมูก ตามที่แพทย์แนะนำ
  2. ไม่ควรชะล้างจมูกในช่วงที่จมูกมีเลือดออกได้ง่าย หรือในกรณีที่แพทย์ไม่แนะนำให้ล้างจมูก
Categories
บทความ

5 คุณประโยชน์ของการนอนที่ดี (Surprising Reasons to Get More Sleep)

5 คุณประโยชน์ของการนอนที่ดี (Surprising Reasons to Get More Sleep)

โดย นพ. นพดล ตรีประทีปศิลป์ และ พญ. ศิริลักษณ์ ผลศิริปฐม (หน่วยโรคจากการนอนหลับ แผนกโสตนาสิกลาริงซ์)

เคยไหม? บางวันรู้สึกเป็นวันที่ไม่สดใส หงุดหงิดกับคนรอบตัว สมองไม่ปลอดโปร่ง หรือไม่มีสมาธิเอาเสียเลย ทุกอย่างดูไม่เป็นใจไปเสียหมด หรือเพราะมันเป็นเพียงวันแย่ๆ วันหนึ่ง (It’s just a bad day) ทว่าเราเคยคิดทบทวนกันบ้างไหมว่า การนอนหลับของเราในคืนที่ผ่านมาเป็นอย่างไร เป็นการนอนที่มีคุณภาพหรือไม่ ร่างกายของเราได้รับการพักผ่อนอย่างเต็มที่ และมีพลังกายพลังใจ พร้อมที่จะทำกิจกรรมในวันต่อไปแล้วหรือยัง ฉะนั้นเราคงไม่อาจปฏิเสธได้ว่าอีกหนึ่งเรื่องที่สำคัญในชีวิตของเราก็คือเรื่องการนอน

การอดนอนหรือการนอนที่ไม่มีคุณภาพ อาจส่งผลให้คุณรู้สึกฉุนเฉียว อ่อนล้าได้ในเช้าวันรุ่งขึ้น แต่หากปัญหาการนอนเกิดขึ้นบ่อยครั้ง อาจจะส่งผลกระทบในด้านอื่นๆ นอกเหนือจากสภาวะอารมณ์ ยังสามารถแผ่ขยายไปกระทบถึงสุขภาพทางกาย ทางจิตใจ หรือแม้กระทั่งความสัมพันธ์ในด้านต่างๆ ซึ่งทั้งหมดนี้ล้วนเป็นเหตผลให้เรามีคุณภาพชีวิตที่แย่ลงทั้งสิ้น

มีงานวิจัยทางการแพทย์หลายบทความพบว่า การมีคุณภาพการนอนที่ดีอย่างสม่ำเสมอนั้น เป็นกุญแจสำคัญในการพัฒนาคุณภาพชีวิตในหลายแง่มุมตั้งแต่เรื่องการคุมน้ำหนัก ไปถึงการลดอัตราการเกิดความเสี่ยงจากโรคหัวใจ และนี่คือเหตผลว่าทำไมเราควรมี “สุขภาพการนอนที่ดี”
โดยบทความนี้ก็จะพาไปให้เห็นถึงเรื่องนี้ชัดเจนยิ่งขึ้น และนี่คือ 5 เหตผลว่าทำไมเราควรถึงต้องนอนให้ดี

1. สมองและความจำสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ  (Improve attention, concentration, learning and make memories)

การนอนพักผ่อนอย่างเพียงพอ ส่งผลดีต่อสมองในแง่ของขบวนการเรียนรู้และจัดเก็บความจำให้เป็นระบบระเบียบ เพื่อเตรียมพร้อมต่อการเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ รวมไปถึงการนำความจำเก่ากลับมาใช้ นอกจากนี้ยังส่งผลให้มีสมาธิที่เพิ่มมากขึ้น สมองปลอดโปร่ง ทำให้สามารถคิดวิเคราะห์ ตัดสินใจและแก้ไขปัญหาได้อย่างสร้างสรรค์

มีการศึกษาถึงระยะเวลาการนอนที่น้อยกว่าปกติและคุณภาพการนอนที่ลดลง เป็นผลเสียต่อสมองและเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคภาวะสมองเสื่อม หรือ อัลไซเมอรที่มากขึ้น

2. ช่วยพัฒนาสภาวะทางอารมณ์และความสัมพันธ์กับบุคคลรอบข้าง (Mood and relationship improvement)

ช่วงเวลาที่เราควรได้รับการพักผ่อน และฟื้นฟูสภาพร่างกายและจิตใจ คือ ช่วงเวลาของการนอนหลับ 

การนอนหลับที่ดีจะช่วยทำให้ร่างกายได้รับการพักผ่อนอย่างเพียงพอ ช่วยลดภาวะทางความเครียด และ สามารถควบคุมอารมณ์ได้ดียิ่งขึ้น

ส่วนการนอนหลับที่ไม่ดี รวมทั้งภาวะความเครียด ความวิตกกังวล ล้วนส่งผลต่อการนอนหลับ มีผลทำให้เราหงุดหงิดง่าย ประสิทธิภาพในการควบคุมอารมณ์ลดลง ส่งผลกระทบในด้านลบทั้งต่อตัวเอง เพื่อนร่วมงาน หรือแม้กระทั่งความสัมพันธ์ต่อคู่ชีวิตและครอบครัว และหากเราปล่อยปะละเลยไว้นานๆ การนอนไม่หลับเรื้อรัง หรือ สภาวะอดนอนเรื้อรั้ง อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นโรคซึมเศร้า และโรควิตกกังวลได้

3. หัวใจที่แข็งแรง (Healthier heart)

การอดหลับอดนอน หรือ คุณภาพการนอนที่ไม่ดี (จากการถูกรบกวน) มีผลกระทบต่อการเพิ่มอัตราการเกิดโรคความดันโลหิตสูง หัวใจโต หัวใจเต้นผิดจังหวะ รวมไปถึงการอักเสบของหลอดเลือด ที่เป็นปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจขาดเลือด

โดยปกติในช่วงเวลานอนหลับ หัวใจจะเข้าสู่สภาวะการซ่อมแซมและได้รับการพักผ่อน อัตราการเต้นของหัวใจและความดันจึงต่ำกว่าปกติ

แต่กรณีที่เรานอนหลับไม่ดี ระบบประสาทซิมพาเทติก (Sympathetic Nervous System) ที่มีหน้าที่ควบคุมการทำงานของอวัยวะต่างๆภายในร่างกาย เพื่อเตรียมพร้อมต่อการเผชิญสภาวะอันตรายหรือภาวะฉุกเฉิน จะถูกกระตุ้นเป็นระยะ ส่งผลทำให้ความดันโลหิตสูงขึ้น หรือ อัตราการเต้นของหัวใจไม่คงที่ตลอดทั้งคืน จนกระทั่งก่อให้เกิดโรคทางระบบหัวใจและหลอดเลือดตามมา

4. ช่วยควบคุมน้ำหนักและระดับน้ำตาล  (Maintain healthy weight and regulate blood sugar)

การนอนที่ดีจะช่วยลดอาการหิวได้ดีขึ้น รวมไปถึงการมีสุขลักษณะเวลานอนที่ดี จะช่วยให้ไม่อยู่ดึกจนเกินไปซึ่งอาจเป็นสาเหตุของการกินอาหารช่วงดึกได้ ทั้งนี้เมื่อมีการนอนหลับที่ไม่ดี ฮอร์โมนที่เกี่ยวกับการควบคุมความหิว ความอิ่ม และการควบคุมระดับน้ำตาลจะถูกรบกวน ส่งผลให้การควบคุมน้ำหนักเป็นไปได้ยากลำบากขึ้น ก่อให้เกิดภาวะน้ำหนักเกิน โรคอ้วน หรือ ความเสี่ยงต่อการเกิดเบาหวานเพิ่มขึ้นตามมาได้

5. เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน (Germ fighting and immune enhancement)

การนอนที่ดีช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน ปรับสภาพร่างกายให้ได้รับการพักผ่อนที่เพียงพอ เพื่อที่จะพร้อมรับมือกับ สภาวะติดเชื้อใดๆที่จะเข้ามาในร่างกายได้อย่างทันท่วงที แต่ในกรณีที่อดนอนเป็นเวลานาน จะสังเกตุได้ว่า เราป่วยง่ายขึ้น หรือ บ่อยขึ้น เนื่องมาจาก การอดนอนนั้นส่งผลต่อเซลล์อักเสบในร่างกาย รวมไปถึงการตอบสนองของร่างกายต่อสิ่งแปลกปลอมที่ช้าลงและมีประสิทธิภาพที่ลดลง.

หากเราเข้าใจแล้วว่า การนอนเป็นสิ่งสำคัญ และเราให้ความสำคัญกับสิ่งนี้ การนอนหลับที่ดีเป็นการเริ่มต้นวันดีๆ และวันแย่ๆของคุณ “It’s just a bad” ก็น่าจะหมดไป

นอนหลับ ฝันดีทุกคนครับ

cr. https://www.gj.mahidol.ac.th/main/knowledge-2/surprising-reasons-to-get-more-sleep/