Categories
บทความ

โรคฉี่หนู อันตรายที่มาพร้อมกับฝน

โรคฉี่หนู อันตรายที่มาพร้อมกับฝน

โรคฉี่หนู (Leptospirosis) เกิดจาก การลุยน้ำ หรือแช่น้ำเป็นเวลานาน เชื้อโรคจะเข้าสู่ร่างกายผ่านทางแผล หรือผิวหนังอ่อนนุ่ม จากการแช่น้ำนาน และเป็นโรคที่ระบาดมากในฤดูฝน เนื่องจากน้ำฝนจะชะล้างเอาเชื้อโรคต่างๆไหลมารวมกันอยู่ในบริเวณที่น้ำขัง 

ซึ่งโรคฉี่หนูเกิดจากเชื้อก่อโรคฉี่หนู เป็นแบคทีเรียอยู่ในปัสสาวะของสัตว์ เช่น หนู หมู สุนัข วัว หรือแม้แต่กระทั่วสัตว์ป่าต่างๆ

หากมีประวัติการเดินลุยน้ำ และมีอาการปวดศรีษะ ไข้ขึ้นสูง ปวดตามกล้ามเนื้อ ควรรีบพบแพทย์ทันที หากปล่อยไว้นานอาการอาจมากถึงขั้นเสียชีวิตได้

อาการของโรคฉี่หนู

ผู้ติดเชื้อจากโรคฉี่หนูส่วนใหญ่จะมีระยะฟักตัวแต่ละคนจะไม่เท่ากัน บางรายมีอาการเร็วภายใน 2 วัน บางหลายอาจหลายสัปดาห์หรือถึง 1 เดือน ส่วนใหญ่ผู้ที่รับเชื้อจะไม่มีอาการหรือมีเพียงเล็กน้อย จะมีเพียง 10-15% ที่จะมีอาการรุนแรง และมักมีอาการแบ่งออกเป็น 2 ระยะ คือ 

ระยะแรก

  • คลื่นไส้ อาเจียน
  • ปวดศีรษะ มีไข้สูง หนาวสั่น 
  • ปวดกล้ามเนื้อหรือข้อต่อ
  • เจ็บช่องท้อง
  • ตาแดงหรือระคายเคืองที่ตา
  • มีผื่นขึ้น
  • เบื่ออาหาร
  • ท้องเสีย

 

ระยะที่สอง

  • มือ เท้า หรือข้อเท้าบวม
  • เจ็บหน้าอก
  • ตัวเหลืองตาเหลือง หรือภาวะดีซ่าน
  • หายใจลำบาก หอบเหนื่อย หัวใจเต้นผิดจังหวะ
  • ไตวายเฉียบพลัน
  • ภาวะเลือดออกง่ายตามอวัยวะต่างๆ และอาจทำให้อวัยวะต่างๆทำงานล้มเหลวและเป็นอันตรายถึงชีวิต

 

ผู้ที่มีความเสี่ยงสูงที่จะติดเชื้อก่อโรคฉี่หนู

  • คนที่ทำงานฟาร์มปศุสัตว์หรือสัมผัสเนื้อหรือมูลของสัตว์
  • คนงานขุดลอกท่อระบายน้ำ
  • ผู้ที่ชอบเดินป่า ท่องเที่ยวตามแม่น้ำ ทะเลสาบ น้ำตก
  • ผู้ที่อาบน้ำตามแม่น้ำ ลำคลอง ที่เป็นแหล่งน้ำจืดทั้งหลาย
  • ชาวประมงที่หาสัตว์ตามแหล่งน้ำจืด

 

ภาวะแทรกซ้อนจากโรคฉี่หนู

ภาวะแทรกซ้อนที่พบบ่อยในผู้ป่วยคือ ภาวะไตวายเฉียบพลัน สาเหตุการเสียชีวิตส่วนใหญ่เกิดจากภาวะเกี่ยวกับปอดที่ร้ายแรงอย่างการมีเลือดออกในปอด ส่วนภาวะแทรกซ้อนอื่นๆ ที่อาจเกิดขึ้นได้มีดังนี้

  • การแท้งในหญิงตั้งครรภ์
  • ภาวะแข็งตัวของเลือดในหลอดอาหาร
  • กล้ามเนื้อลายสลายตัว
  • โรคเกี่ยวกับตา เช่น ม่านตาอักเสบ
  • โรคหลอดเลือดในสมอง เลือดออกในเยื่อหุ้มสมองชั้นกลาง หลอดเลือดสมองอักเสบ
  • อาการแพ้ที่ทำให้มีไข้หรือเกิดผื่นที่ขา
  • โรคกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ
  • ภาวะหัวใจวาย

 

การป้องกัน

  • เลี่ยงการลุยน้ำ หรือแช่น้ำเป็นเวลานาน 
  • สวมรองเท้าบูท และถุงมือยาง ถ้าจำเป็นต้องลุยน้ำ
  • ปิดพลาสเตอร์ หากมีบาดแผลเพื่อไม่ให้แผลสัมผัสกับน้ำ
  • ทานอาหารปรุงสุก สด ใหม่ ผัก ผลไม้ ต้องล้างให้สะอาด
  • ล้างมือ อาบน้ำ เมื่อลุยน้ำมา ต้องชำระล้างร่างกายทันที
  • ทำความสะอาดบริเวณบ้าน รวมทั้งสิ่งแวดล้อมภายในบ้านไม่ให้มีหนูชุกชุม

แหล่งที่มา : https://www.bpksamutprakan.com/care_blog/view/193

Categories
บทความ

สังเกตอาการ 4 ระยะฟักตัวโรคฝีดาษลิง

สังเกตอาการ 4 ระยะฟักตัวโรคฝีดาษลิง

ณ ปัจจุบันพบผู้ติดเชื้อฝีดาษลิง ในประเทศไทยแล้ว และ WHO หรือองค์การอนามัยโลกได้ออกมาประกาศว่า ให้ทุกประเทศเฝ้าระวังการระบาดของเชื้อฝีดาษลิง โดยโรคฝีดาษลิงเกิดจากเชื้อไวรัสชนิดหนึ่ง และติดต่อโดยการสัมผัสสารคัดหลั่งของผู้ป่วย เพราะฉะนั้นการสังเกตอาการหรือรู้ระยะฟักตัวของโรคจึงเป็นสิ่งสำคัญ

โดยอาการของโรคฝีดาษลิง ตั้งแต่ติดเชื้อจนถึงหายจากโรคจะแบ่งออกเป็น 4 ระยะ

ระยะที่ 1 เรียกว่า ระยะฟักตัว : ระยะตั้งแต่รับเชื้อ จนเกิดอาการ ส่วนใหญ่มักไม่แสดงอาการ โดยจะอยู่ในช่วง 5-21 วันหลังจากได้รับเชื้อ

ระยะที่ 2 เรียกว่า ระยะไข้ หรือระยะก่อนออกผื่น : ระยะนี้สามารถเป็นได้ตั้งแต่ 1-4 วัน จะมีอาการเหมือนการติดเชื้อไวรัสทั่วไป ได้แก่ มีไข้ ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ ปวดหัว เจ็บคอ หนาวสั่น อ่อนเพลีย มีแผลในปาก และต่อมน้ำเหลืองโตร่วมด้วย ซึ่งอาการต่อมน้ำเหลืองโตถือเป็นอาการเฉพาะของโรคฝีดาษลิง

ระยะที่ 3 เรียกว่า ระยะออกผื่น : อาการระยะนี้จะเป็นอยู่ประมาณ 1-2 สัปดาห์ บางรายอาจะเป็นนานถึง 4 สัปดาห์ จะมีผื่นหรือตุ่มขึ้นเป็นจำนวนมากตามร่างกาย โดยจะเริ่มจากผื่นแบน แล้วเป็นผื่นนูน ต่อด้วยตุ่มน้ำใส และตุ่มน้ำขุ่น หรือตุ่มหนอง จนกระทั่งเป็นผื่นแผลแห้งเป็นขุย เมื่อตุ่มหนองต่าง ๆ แห้งหมด จะถือว่าหมดระยะแพร่เชื้อ

ระยะที่ 4 เรียกว่า ระยะฟื้นตัว : ใช้เวลาหลายวันจนถึงหลายสัปดาห์

สังเกตอาการ4ระยะฟักตัวโรคฝีดาษลิง
 

การรักษาโรคฝีดาษลิง

  • รักษาตามอาการ หากอาการไม่รุนแรง
  • มีการนำยาต้านไวรัสที่ใช้รักษาฝีดาษคน มาใช้รักษาโรคฝีดาษลิง ในผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรง แต่ประโยชน์และผลการรักษาจากการใช้ยาดังกล่าวยังไม่ชัดเจน
Categories
บทความ

ทำความรู้จัก “โรคฝีดาษลิง” (Monkeypox) แพร่เชื้อ-ติดต่ออย่างไร?

ทำความรู้จัก “โรคฝีดาษลิง” (Monkeypox) แพร่เชื้อ-ติดต่ออย่างไร?

Categories
บทความ

โรคไข้เลือดออกระบาด – สาเหตุ อาการ ระวัง ป้องกัน รู้ทันยุงลาย

ไข้หวัดใหญ่ โรคร้ายในช่วงฤดูฝน ท่ามกลางสถานการณ์โควิด-19

เกร็ดความรู้เรื่องไข้เลือดออก

โรคไข้เลือดออก เป็นโรคที่แพร่ระบาดในฤดูฝนพบได้ทั้งในเด็กและผู้ใหญ่ เกิดจากเชื้อไวรัสโดยมียุงลายเป็นพาหะนำโรค เมื่อยุงลายที่มีเชื้อไวรัสกัดคน จะถ่ายทอดเชื้อให้คนทำให้เกิดอาการ ผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรงจะมีอาการช็อค ซึ่งถ้าไม่ได้รับการรักษาที่ถูกต้องและทันเวลาอาจเสียชีวิตได้ โดยมีอาการเลือดออกตามมา

เป็นโรคอันตรายที่เป็นปัญหาทางสาธารณสุขในพื้นที่ประเทศเขต ร้อนชื้น โดยมียุงลายเป็นพาหะนำโรค เพื่อให้เกิดความ“ตระหนัก” ถึงความสำคัญของโรค การให้ความรู้และความเข้าใจที่ถูกต้อง จะมีส่วนช่วยให้ผู้ป่วยที่สงสัยว่าจะเป็นไข้เลือดออกและผู้ดูแลรู้จักวิธีการดูแลรักษาเบื้องต้นที่บ้าน รู้สัญญาณอันตราย ซึ่งต้องรีบนำผู้ป่วยไปพบแพทย์ ตลอดจนรู้แนวทาง และช่วยเหลือกันในการป้องกันไม่ให้เกิดโรค

ข้อมูลจากระบบรายงานการเฝ้าระวังโรค 506 สำนักระบาดวิทยา รายงานถึงสถานการณ์โรคไข้เลือดออกในปี พ.ศ.2559 ณ วันที่20 ธันวาคม 2559 พบผู้ป่วยโรคไข้เลือดออก (Dengue fever: DF, Dengue haemorrhagic fever: DHF, Dengue shock syndrome: DSS) สะสมรวม 60,964 ราย อัตราป่วย 93.18 : แสนคน  จำนวนผู้ป่วยลดร้อยละ 57.36 เมื่อเทียบกับปี พ.ศ. 2558 ณ ช่วงเวลาเดียวกัน ผู้ป่วยเสียชีวิต 60 ราย อัตราป่วยตาย เท่ากับ ร้อยละ 0.10 จะเห็นได้ว่าคนมีการระวังและป้องกันอันตรายจากยุงลายที่เป็นพาหะนำโรคไข้เลือดออกกันมากขึ้น แต่ก็ยังต้องเฝ้าระวังกันอย่างใกล้ชิด เพราะไข้เลือดออกไม่มีทางรักษา และทำให้เสียชีวิตได้ หากไม่รู้จักวิธีการดูแลรักษาเบื้องต้น

สาเหตุ

เกิดจากการติดเชื้อ ไวรัสเดงกี่  โดยมี 4 ชนิดคือ เดงกี่-1, เดงกี่-2, เดงกี่-3 และเดงกี่-4 ทําให้คนเรามีโอกาสที่จะป่วยจากโรคไข้เลือดออกได้หลายครั้ง มีพาหะนำโรคที่สำคัญคือ ยุงลาย เมื่อยุงลายที่มีเชื้อไวรัสเดงกี่ กัด จะส่งเชื้อให้คน ทำให้เกิดการติดเชื้อตามมา ยุงลายมักออกหากินตอนกลางวัน  และวางไข่ในน้ำสะอาดที่ขังนิ่ง

อาการ

แบ่งเป็น  3 ระยะได้แก่ ระยะไข้ ระยะวิกฤต และระยะพักฟื้น อาการที่สำคัญในระยะไข้

1. ระยะไข้ 

คือ อาการไข้สูงลอยประมาณ 39 – 40°C นาน 2-7 วัน มักมีหน้าแดง ปวดศีรษะ ปวดตา ปวดเมื่อยตามตัว ปวดกระดูก คลื่นไส้อาเจียน เบื่ออาหาร ปวดท้อง และอาจมีภาวะเลือดออกร่วมด้วย โดยอาการของผู้ป่วยไข้เลือดออกส่วนใหญ่ จะไม่ปรากฏพร้อมๆ กัน จึงต้องเฝ้าติดตามเป็นระยะๆ 

2. ระยะวิกฤต 

เมื่อผู้ป่วย มีอาการอย่างใดอย่างหนึ่ง เช่น  มีอาการเพลีย ซึม ไม่ดื่มนํ้า ไม่รับประทานอาหาร ไม่มีกิจกรรมตามปกติ เมื่อไข้ลง (บางรายจะกระหายนํ้ามาก) อาเจียน ปวดท้องมาก เลือดออกผิดปกติ มีอาการช็อก (IMPENDING SHOCK) คือมือเท้าเย็นกระสับกระส่าย ร้องกวนมากในเด็กเล็ก ตัวเย็น เหงื่อออก ตัวลาย สีผิวคลํ้าลง ปัสสาวะน้อยลง หรือไม่ปัสสาวะ 4-6 ชม. ความประพฤติเปลี่ยนแปลง เช่น พูดไม่รู้เรื่อง เพ้อ เอะอะโวยวายเป็นระยะอันตรายของโรค เข้าสู่ระยะช็อก แม้อยู่ในภาวะช็อก ผู้ป่วยจะมีสติดี พูดจารู้เรื่อง ต้องรีบนําส่งโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุดทันที และกระตุ้นให้ผู้ป่วยดื่มนํ้าเกลือแร่หรือนํ้าผลไม้ใส่เกลือเล็กน้อย โดยให้จิบครั้งละน้อยๆ บ่อยๆ ไม่ควรดื่มแต่นํ้าเปล่าอย่างเดียว  

ภาวะช็อกส่วนใหญ่เกิดจากมีการรั่วของพลาสม่าออกนอกหลอดเลือด ทําให้ความเข้มข้นของเลือดเพิ่มขึ้น และบางรายอาจถึงขั้นมีความดันโลหิตตํ่าหรือที่เรียกว่าช็อกตามมา นอกจากนั้นภาวะช็อกอาจเกิดจากการที่เลือดออกในอวัยวะสําคัญได้แก่ เลือดออกในกระเพาะอาหาร ประจําเดือนมามากกว่าปกติ และเลือดออกจากแผลผ่าตัดในผู้ป่วยที่ได้รับการผ่าตัด ภาวะช็อก อาจทําให้เกิดภาวะล้มเหลวของอวัยวะต่างๆ โดยเฉพาะไตและตับ ซึ่งส่งผลรุนแรงถึงขั้นทําให้ผู้ป่วยเสียชีวิตได้ ง

3. ระยะพักฟื้น 

กรณีผู้ป่วยรับการรักษาแล้วแพทย์ให้กลับบ้านได้ ควรดูแลและปฏิบัติตนต่อไปคือไม่ควรให้ถูกยุงกัดภายใน 5 วันแรกของโรค เพราะผู้ป่วยยังมีไวรัสอยู่ในเลือดทําให้แพร่เชื้อไปให้คนอื่นได้ หากมีคนในบ้านมีไข้สูง ให้พามาตรวจควรเฝ้าสังเกตอาการอย่างใกล้ชิด ระมัดระวังภาวะเลือดออกต่อไปอีกประมาณ 1 สัปดาห์ ควรหลีกเลี่ยงการแคะจมูก การแปรงฟัน การออกกําลังกายหรือเล่นกีฬาที่มีความรุนแรงหากมีอาการผิดปกติควรรีบพามาพบแพทย์ทันทีให้ยาลดไข้พาราเซตามอล ควรหลีกเลี่ยงยาแอสไพริน หรือ ยากลุ่ม NSAID เช่น ไอบูโปรเฟน เนื่องจากทําให้เกิดเลือดออกทางเดินอาหารมากขึ้น หรือมีผลต่อตับได้ แนะนำให้ 

การรักษา

ในปัจจุบันยังไม่มีวิธีการรักษาโรคไข้เลือดออก มีเพียงรักษาตามอาการเท่านั้น ดังนั้นการป้องกัน กําจัดลูกนํ้า ภาชนะใส่นํ้าภายในบ้านควรปิดฝาให้มิดชิด  และอีกวิธีหนึ่งคือ การฉีดวัคซีนป้องกันไข้เลือดออก ซึ่งในตอนนี้วัคซีนป้องกันไข้เลือดออกตัวแรกของโลก ได้เข้าสู่ประเทศไทยแล้วซึ่งวัคซีนนี้สามารถใช้ได้ในเด็กอายุตั้งแต่ 9 ปีถึง 45 ปี  และพบว่านอกจะสามารถป้องกันโรคไข้เลือดออกได้แล้วยังสามารถลดการเกิดไข้เลือดออกชนิดรุนแรงได้ถึง 93.2%  และสามารถลดการนอนโรงพยาบาลโรคไข้เลือดออกได้ 80.8%

  • ยังไม่มียาต้านไวรัส เป็นการรักษาตามอาการ
  • ให้เช็ดตัวด้วยน้ำธรรมดาเวลามีไข้ เช็ดนาน 10-15 นาที 
  • กินยาลดไข้พาราเซตามอลได้ เมื่อมีไข้ โดยให้ยาห่างกัน ไม่น้อยกว่า 4-6 ช.ม. งดแอสไพรินเด็ดขาด
  • ดื่มน้ำมากๆ 
  • ให้อาหารอ่อน ย่อยง่าย งดอาหารที่มีสีแดง ดำ และน้ำตาล
  • ติดตามอาการอันตราย และไปพบแพทย์ตามนัด โดยเฉพาะในระยะไข้ลงที่ผู้ป่วยยังไม่สามารถทำกิจกรรมตามปกติได้ หรืออาการยังไม่ดีเหมือนปกติ

กรณีผู้ป่วยรับการรักษาแล้วแพทย์ให้กลับบ้านได้ ควรดูแลและปฏิบัติตนต่อไปนี้

  • ผู้ป่วยที่เป็นไข้เลือดออกไม่ควรให้ถูกยุงกัดภายใน 5 วันแรกของโรค เพราะผู้ป่วยยังมีไวรัสอยู่ในเลือดทำให้แพร่เชื้อไปให้คนอื่นได้ หากมีคนในบ้านมีไข้สูง ให้พามาตรวจ
  • ควรเฝ้าสังเกตอาการอย่างใกล้ชิด หากมีอาการผิดปกติควรรีบพามาพบแพทย์ทันที
  • ให้ยาลดไข้พาราเซตามอล ควรหลีกเลี่ยงยาแอสไพริน หรือ ยากลุ่ม NSAID เช่น ไอบูโปรเฟน เนื่องจากทำให้เกิดเลือดออกทางเดินอาหารมากขึ้น หรือมีผลต่อตับได้
  • กำจัดแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลายทั้งที่บ้าน ที่ทำงาน และที่โรงเรียน

การป้องกัน

  • ควรนอนในมุ้ง หรือในห้องติดมุ้งลวดที่ปลอดยุงลาย
  • ม่เล่นในมุมมืด หรือบริเวณที่ไม่มีลมพัดผ่าน
  • ห้องเรียน หรือห้องทำงานควรมีแสงสว่างทั่วถึง มีลมพัดผ่าน ไม่มีแหล่งเพาะพันธุ์ยุง เช่น แจกันดอกไม้ควรเปลี่ยนน้ำทุกวัน พลูด่างควรปลูกในดิน
  • กำจัดยุงในบริเวณมุมอับภายในบ้าน ตู้เสื้อผ้า บริเวณรอบ ๆ บ้าน ทุกสัปดาห์
  • กำจัดลูกน้ำ ภาชนะใส่น้ำภายในบ้านปิดฝาให้มิดชิด ถ้าไม่สามารถปิดได้ ให้ใส่ทรายอะเบทหรือใส่ปลาหางนกยูง จานรองขาตู้กับข้าว จานรองกระถางต้นไม้ ใส่เกลือหรือน้ำส้มสายชูหรือผงซักฟอก สัปดาห์ละครั้ง
  • วัสดุที่เหลือใช้รอบ ๆ บ้าน เช่น กระป๋อง กะลา ยางรถยนต์เก่า ฯลฯ ให้คว่ำหรือทำลายเสีย

วัคซีนป้องกันโรคไข้เลือดออก

ปัจจุบันมีวัคซีนโรคไข้เลือดออก 4 สายพันธุ์(DEN 1-4) แนะนำให้ฉีดในกลุ่มอายุ 9-45 ปี ฉีด 3 เข็ม ( เดือนที่ 0,6 และ 12 เดือน) ในผู้ที่เคยมีการติดเชื้อมาก่อน ไม่แนะนำให้ฉีดในผู้ที่ไม่เคยมีการติดเชื้อมาก่อน
จากงานวิจัยทวีปเอเชียแปซิฟิกและแถบละตินอเมริกาในอาสาสมัครอายุ 9-16 ปี พบว่า วัคซีน CYD-TDV มีประสิทธิภาพสูงในการป้องกันไข้เลือดออกเดงกี้ ดังนี้

  • สามารถป้องกันโรคไข้เลือดออกเดงกีทุกสายพันธุ์ได้ 65%
  • ลดการนอนโรงพยาบาลได้ถึง 80.8%
  • ป้องกันการติดเชื้อไวรัสเดงกีได้ถึง 92.9%

ผู้ที่ไม่สามารถฉีดวัคซีนป้องกันโรคไข้เลือดออกเดงกี ได้แก่

  • ผู้ที่แพ้หรือไวต่อการแพ้ต่อสารออกฤทธิ์หรือส่วนประกอบอื่น ๆ ในวัคซีนป้องกันโรคไข้เลือดออก
  • ผู้ที่เกิดการแพ้หลังได้รับวัคซีนไข้เลือดออกเข็มแรก โดยอาการแพ้ที่เกิดขึ้น ได้แก่ ผื่นคัน หายใจถี่หอบ หน้าและลิ้นบวม
  • ผู้ที่กำลังป่วยด้วยโรคใดก็ตามที่ทำให้มีไข้ ตั้งแต่ระดับต่ำจนถึงไข้สูง หรือกำลังเจ็บป่วยแบบเฉียบพลัน แพทย์จะทำการเลื่อนนัดการฉีดวัคซีนออกไปก่อนจนกว่าจะหายเป็นปกติ
  • ผู้ที่มีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง เช่น ความผิดปกติทางพันธุกรรม การติดเชื้อเอดส์(HIV) หรือรับยากดภูมิคุ้มกันเช่น ยา Prednisone หรือเทียบเท่า 20 มก.หรือ :2 มก/กก. ของน้ำหนักตัวเป็นเวลา ตั้งแต่ 4 สัปดาห์ขึ้นไปเป็นต้น
  • สตรีมีครรภ์หรืออยู่ระหว่างช่วงให้นมบุตร

5ป ปราบยุงลาย ป้องกันไข้เลือดออก

 

  • ป1 ปิด ภาชนะเก็บกักน้ำให้มิดชิด
  • ป2 เปลี่ยน น้ำในภาชนะต่าง ๆ ทุก 7 วัน เพื่อตัดวงจรลูกน้ำ
  • ป3 ปล่อย ปลากินลูกน้ำในภาชนะใส่น้ำถาวร เช่น อ่างบัว
  • ป4 ปรับปรุง สิ่งแวดล้อมให้โปร่งลมพัดผ่านได้ไม่ให้ยุงมาเกาะพัก
  • ป5 ปฏิบัติ ตามทั้ง 4ป ข้างตนเป็นประจำจนเป็นนิสัย

ถ้าผู้ป่วยมีไข้สูงติดต่อกันเกิน 3 วัน ให้พาไปพบแพทย์ เพื่อการวินิจฉัยโรคที่ถูกต้อง ระวังไม่ให้ยุงกัดในเวลากลางวัน และ กำจัดแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลายโดยการปิดฝาภาชนะเก็บน้ำให้มิดชิด กางมุ้ง ทายากันยุง 

แหล่งที่มา : https://www.vibhavadi.com/Health-expert/detail/251

Categories
บทความ

ไข้หวัดใหญ่ โรคร้ายในช่วงฤดูฝน ท่ามกลางสถานการณ์โควิด-19

ไข้หวัดใหญ่ โรคร้ายในช่วงฤดูฝน ท่ามกลางสถานการณ์โควิด-19

การระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ยังคงเป็นปัญหาสำหรับสังคมไทย ทำให้คนไทยส่วนมากวิตกกังวล กับการป้องกันการระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 จึงอาจจะลืมนึกถึงไปว่า ยังมีโรคประจำฤดูฝน และเป็นอันตรายเหมือนกับเชื้อโควิด-19 เช่นกัน นั้นคือ “ไข้หวัดใหญ่” หากท่านยังประมาทในการป้องกันการติดเชื้อของไข้หวัดใหญ่ และเชื้อไวรัสโควิด-19 สุขภาพร่างกายของท่านอาจจะเป็นอันตรายถึงแก่ชีวิต และท่านเองก็เป็นตัวแพร่เชื้อโรคไข้หวัดใหญ่ และเชื้อไวรัสโควิด-19 อีกด้วย

 

ความแตกต่างของไข้หวัดใหญ่ และ โควิด-19

 

  • ไข้หวัดใหญ่ เกิดจากเชื้อ อินฟลูเอนซา มีระยะฟักตัว 1-3 วัน สามารถจำแนกออกได้เป็น 3 ชนิด คือ ชนิดเอ ชนิดบี และชนิดซี อาการแรกเริ่มเหมือนไข้หวัดทั่วไป สามารถหายได้ 1-2 สัปดาห์ แต่ในบางกรณีรุนแรงถึงขั้นปอดอักเสบ จนเสียชีวิตได้                                               
  • โควิด-19 เกิดจากกลุ่มเชื้อไวรัส โคโรนา สายพันธุ์ใหม่ มีสัตว์เป็นตัวกลางในการแพร่เชื้อสู่มนุษย์ มีระยะฟักตัว 2-4 วัน อาการแรกเริ่มจะมีอาการป่วย เป็นไข้ มีอาการผิดปกติทางเดินหายใจ หากเกิดภาวะแทรกซ้อน ในผู้สูงอายุหรือผู้ที่มีโรคประจำตัว อาจรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้

 

วัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่

 

ไข้หวัดใหญ่ได้กลายพันธุ์ออกเป็น 4 ประเภท

  1. ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ A/H1N1 หรือที่คุ้นชินในชื่อ “ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009” รักษาโดยการใช้ยาต้าน “โอเซลตามิเวียร์”
  2. ไข้หวัดสายพันธุ์ A/H3N2 หรือที่คุ้นชินในชื่อ “ไข้หวัดหมู”  
  3. ไข้หวัดสายพันธุ์ B Corolado ตระกูล Victoria
  4. ไข้หวัดสายพันธุ์ B Phuket ตระกูล Yamagata

 

วัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่สร้างโดยส่วนประกอบของเชื้อไวรัส และเชื้อแบคทีเรียที่ตายแล้ว สามารถสร้างภูมิคุ้มกันในร่างกายได้ โดยฉีดเข้าสู่ร่างกายทางต้นแขนใช้เวลาฟูมฟักเป็นเวลา 2 สัปดาห์ – 1 เดือน ควรฉีดปีละหนึ่งครั้ง ก่อนฤดูฝน 

 

วัคซีนป้องกันโควิด

 

วัคซีนป้องกันโควิด-19 ช่วยลดความรุนแรงของเชื้อไวรัสได้ สำหรับประเทศไทยมีวัคซีนป้องกันโควิด-19 ที่ขึ้นทะเบียนกับสำนักงานคณะกรรมการอาหาร และยา (อย.) มีอยู่ 6 ชนิดได้แก่

 

  1. วัคซีนซิโนแวค (Sinovac) มีประสิทธิภาพในการป้องกันเชื้อโควิด-19 ได้ 51% 
  2. วัคซีนแอสตร้าเซเนก้า (AstraZeneca) มีประสิทธิภาพในการป้องกันเชื้อโควิด-19 ได้ 70.4%
  3. วัคซีนจอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน (Johnson & Johnson) มีประสิทธิภาพในการป้องกันเชื้อโควิด-19 ได้มากกว่า 65%
  4. วัคซีนโมเดอร์นา (Moderna) มีประสิทธิภาพในการป้องกันเชื้อโควิด-19 ได้ 94%
  5. วัคซีนซิโนฟาร์ม (Sinopharm) มีประสิทธิภาพในการป้องกันเชื้อโควิด-19 ได้ 79%
  6. วัคซีนไฟเซอร์ ไปโอเอ็นเท็ค (Pfizer/BioNtech) มีประสิทธิภาพในการป้องกันเชื้อโควิด-19 ได้ 95%

 

 

 

อาการไข้หวัดใหญ่ และ โควิด-19 ที่เหมือนกัน

 

  • มีไข้ขึ้นสูงประมาณ 37.5-38 องศาเซลเซียส ขึ้นไป
  • ปวดกล้ามเนื้อ
  • ปวดศรีษะ
  • เบื่ออาหาร

 

อาการที่ใกล้เคียงกันของไข้หวัดใหญ่ และโควิด-19 ทำให้เป็นเรื่องที่ยากต่อการวินิจฉัย สิ่งที่คล้ายเคียงกันอีกอย่างคือ การป้องกัน แต่จะแตกต่างกันในเรื่องของ เชื้อไวรัส และวัคซีนในการรักษา ดังนั้นหากละเลยการป้องกัน ร่างกายจะเกิดการติดเชื้อทั้งไข้หวัดใหญ่ และโควิด-19 ทำให้เกิดโรคแทรกซ้อนขึ้นมา และเป็นอันตรายต่อชีวิต ควรที่จะฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ป้องกันไว้ก่อนฤดูฝน  อาการแทรกซ้อนจากโควิด-19 และเชื้อโรคอื่นๆ จะไม่สามารถทำอันตรายใดๆต่อร่างกายของท่านได้

Categories
บทความ

วิธีป้องกัน “เชื้อไวรัส HPV”

วิธีป้องกัน “เชื้อไวรัส HPV”

กรมการแพทย์ ชี้ HPV หรือ Human Papillomavirus เป็นเชื้อไวรัสที่ก่อให้เกิดโรคติดเชื้อเอชพีวี แพร่กระจายได้ง่ายผ่านการสัมผัสกับเชื้อโดยตรงหรือการมีเพศสัมพันธ์ ปัจจุบันพบว่ามีเชื้อชนิดนี้มากกว่า 100 สายพันธุ์ ซึ่งส่วนใหญ่มักทำให้เกิดหูดตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย นอกจากนี้ เชื้อ HPV บางสายพันธุ์อาจเป็นสาเหตุของการเกิดมะเร็งชนิดต่าง ๆ เช่น มะเร็งปากมดลูก มะเร็งช่องคลอด มะเร็งปากช่องคลอด มะเร็งอวัยวะเพศชาย มะเร็งทวารหนัก  มะเร็งช่องปากและลำคอ เป็นต้น

 นายแพทย์สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ อธิบดีกรมการแพทย์ กล่าวว่า ผู้ติดเชื้อ HPV ส่วนใหญ่จะไม่มีอาการ การแสดงอาการของโรคอาจเกิดขึ้นหลายปีหลังจากติดเชื้อและสามารถแพร่เชื้อไปยังคนอื่นได้ สำหรับอาการของการติดเชื้อไวรัส HPV มีดังนี้

1. มีหูดหงอนไก่ ( Condyloma Acuminata ) เป็นตุ่มเล็กๆ ผิวไม่เรียบหลายๆตุ่ม กระจายตามอวัยวะเพศภายนอก มีอาการคันได้ สามารถพบได้ทั้งปากช่องคลอด และปากมดลูก ลักษณะของหูด หูดชนิดทั่วไป จะมีรูปร่างเป็นตุ่มเล็กๆ เจ็บปวดบ้างในบางครั้ง และหากสัมผัสจะรู้สึกว่าผิวของหูดนั้นมีความขรุขระ มีได้หลายสี พบได้ที่บริเวณมือ นิ้วมือ หรือข้อศอก ซึ่งหูดลักษณะเช่นนี้ส่วนใหญ่ไม่ก่อให้เกิดอันตราย นอกจากนี้ยังมีหูดชนิดอื่นๆ เช่น หูดชนิดแบนราบ เกิดขึ้นได้กับทุกส่วนของร่างกาย หูดฝ่าเท้า มักขึ้นบริเวณส้นเท้า ทำให้รู้สึกเจ็บในระหว่างยืนหรือเดิน แต่หูดที่สร้างความทุกข์ใจกับผู้ป่วยมากที่สุดคือ หูดที่อวัยวะเพศ หรือเรียกว่า หูดหงอนไก่เป็นติ่งเนื้อลักษณะคล้ายดอกกะหล่ำ มักเกิดขึ้นบริเวณอวัยวะเพศหญิง อวัยวะเพศชาย และทวารหนัก ส่วนใหญ่ไม่มีอาการเจ็บ แต่อาจทำให้รู้สึกคัน

2. มีอาการตกขาวมากกว่าปกติ อาจมีเลือดปนตกขาว ตกขาวมีกลิ่นเหม็น หรือมีเลือดออกกะปริบกะปรอยจากช่องคลอด มีอาการเป็นๆหายๆ หากติดเชื้อที่ทวารหนัก ก็จะมีแผลหรือก้อนยื่นออกมาผิดปกติ แต่ก็มีบ่อยครั้งที่ผู้หญิงบางรายได้รับเชื้อ HPV เข้าสู่ร่างกายแต่ไม่แสดงอาการและเชื้อก็จะหายไปเอง หรือหากร่างกายอ่อนแอก็อาจก่อให้เกิดความผิดปกติภายหลัง

นายแพทย์จินดา โรจนเมธินทร์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลราชวิถี กรมการแพทย์ กล่าวเพิ่มเติมว่า โรคติดเชื้อ HPV มักติดต่อผ่านการมีเพศสัมพันธ์ ไม่ว่าจะเป็นเพศสัมพันธ์ทางช่องคลอด ทวารหนัก ปาก หรือการใช้อุปกรณ์เพื่อสนองความต้องการทางเพศร่วมกัน และสามารถแพร่ผ่านรอยแผลหรือรอยขีดข่วนตามผิวหนัง หากมีการสัมผัสผิวหนังหรือสิ่งของที่ปนเปื้อนเชื้อจากผู้ป่วย แม้กระทั่งในช่วงที่ผู้ติดเชื้อยังไม่แสดงอาการก็ตาม ส่วนหญิงตั้งครรภ์ที่ติดเชื้ออาจแพร่เชื้อสู่บุตรระหว่างการคลอดได้ แต่เกิดขึ้นได้ค่อนข้างน้อย ทั้งนี้วิธีป้องกันและลดความเสี่ยงของการติดเชื้อไวรัส HPV สามารถทำได้ดังนี้

1. ตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกเป็นประจำทุก 3 ปี หรือตรวจหาเชื้อไวรัส HPV ทุก 5 ปี

2. ฉีดวัคซีนป้องกันมะเร็งปากมดลูก เพื่อเสริมภูมิคุ้มกันให้กับร่างกาย สามารถฉีดได้ตั้งแต่อายุ 9 ปี

3. สวมถุงยางอนามัยทุกครั้งขณะมีเพศสัมพันธ์

4. เลี่ยงพฤติกรรมเปลี่ยนคู่นอนบ่อย

แหล่งที่มา : https://pr.moph.go.th/?url=pr/detail/2/02/178002/

Categories
บทความ

ไข้เลือดออก ภัยร้ายหน้าฝนจากยุงลาย

ไข้เลือดออก ภัยร้ายหน้าฝนจากยุงลาย

ไข้เลือดออก เกิดจากการติดเชื้อไวรัสเดงกี (dengue virus) การติดเชื้อเกิดจากการถูกยุงลายที่มีเชื้อไวรัสกัด ทำให้เชื้อไวรัสเข้าสู่กระแสเลือด แล้วเกิดอาการป่วยขึ้น ไวรัสเดงกีมีทั้งหมด 4 สายพันธุ์ ส่วนใหญ่เมื่อติดเชื้อด้วยสายพันธุ์หนึ่งจะมีภูมิคุ้มกันต่อสายพันธุ์นั้นไปตลอดชีวิต แต่ยังสามารถติดเชื้อสายพันธุ์อื่นได้ 

ระบาดวิทยา

ทั้งเด็กและผู้ใหญ่มีโอกาสเป็นไข้เลือดออกได้ ในสมัยก่อนโรคไข้เลือดออกมักเกิดในเด็กเล็ก ไม่ค่อยพบในผู้ใหญ่ แต่ปัจจุบันพบในเด็กโต ผู้ใหญ่ รวมถึงผู้สูงอายุมากขึ้น อาจเกิดจากโครงสร้างของประชากรเปลี่ยนแปลงไป ผู้สูงอายุมีมากขึ้น ร่วมกับการใช้ชีวิตที่เปลี่ยนไป เด็กมีโอกาสถูกยุงลายกัดน้อยลง ในช่วงปี 2565 พบว่ามีการระบาดของโรคไข้เลือดออกมากขึ้นเมื่อเทียบกันกับในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา เป็นที่น่าสังเกตว่าในช่วงที่มีการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 การระบาดของโรคไข้เลือดออกลดลงอย่างชัดเจน มีการสำรวจพบว่าลูกน้ำยุงลายลดลงในช่วงนี้ คาดว่าช่วงการระบาดของโรคโควิด-19 ประชากรอยู่บ้านกันมากขึ้น ทำให้มีเวลาในการกำจัดแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลายมากขึ้น อย่างไรก็ตามตั้งแต่เดือนมกราคมถึงเดือนมีนาคม 2566 นี้พบว่ามีคนติดเชื้อแล้วประมาณ 6,000 ราย

ความรุนแรงของโรค ไข้เลือดออก

ผู้ป่วยที่ติดเชื้อไวรัสเดงกีและเป็นโรคไข้เลือดออกส่วนใหญ่อาการไม่รุนแรง บางคนไม่ต้องรับการรักษาที่โรงพยาบาล มีเพียงส่วนน้อยที่ต้องได้รับการรักษาที่โรงพยาบาล และจำนวนผู้ป่วยที่ต้องรับการรักษาในโรงพยาบาลส่วนน้อยมาก ๆ จะมีอาการรุนแรง

ความรุนแรงของโรคไข้เลือดออกที่ทำให้มีอาการหนักเกิดจากสาเหตุ ดังนี้

  1. ผู้ป่วยมีภาวะเลือดออกมาก เนื่องจากมีเกล็ดเลือดต่ำและภาวะการแข็งตัวของเลือดผิดปกติ ภาวะเลือดออกที่เป็นอันตรายที่พบบ่อยในโรคนี้ คือ ภาวะเลือดออกในทางเดินอาหาร ผู้ป่วยจะมีอาการอาเจียนเป็นเลือด ถ่ายอุจจาระเป็นเลือด หรือถ่ายดำ
  2. ผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรงจะมีการรั่วของพลาสมาในหลอดเลือดออกมาอยู่ในเนื้อเยื่อ รวมถึงช่องเยื่อหุ้มปอดหรือในช่องท้อง ในเลือดคนปกติจะมี 2 ส่วนประกอบใหญ่ ๆ คือ ส่วนที่เป็นเซลล์เม็ดเลือด และส่วนที่เป็นน้ำเหลืองเรียกว่าพลาสมา ในผู้ป่วยที่เป็นไข้เลือดออกที่มีการรั่วของพลาสมา พลาสมาจะรั่วออกนอกหลอดเลือด ทำให้ร่างกายเหมือนสูญเสียของเหลวออกไปจึงทำให้เกิดภาวะความดันโลหิตต่ำหรือภาวะช็อกตามมา ถ้ามีการรั่วของพลาสมาออกมามากหรือมีภาวะช็อกอาจทำให้เสียชีวิตได้
  3. ผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรงอาจมีการทำงานของอวัยวะสำคัญเสียไป เช่น ภาวะตับวาย ไตวาย สมองบวม เม็ดเลือดต่ำ หรือภาวะติดเชื้ออื่นแทรกซ้อน ซึ่งทำให้เสียชีวิตได้

อาการและอาการแสดง

ผู้ที่ได้รับเชื้อไวรัสเดงกีไม่จำเป็นต้องมีอาการเป็นไข้เลือดออกทุกคน ผู้ที่ได้รับเชื้อไวรัส จะมีเพียงร้อยละ 25-30 ที่จะมีอาการป่วยขึ้น ที่เหลือจะติดเชื้อแบบไม่มีอาการแต่สามารถแพร่เชื้อได้ ผู้ป่วยจะมีอาการได้หลากหลายตั้งแต่อาการน้อยจนถึงอาการรุนแรง สามารถแบ่งอาการของการติดเชื้อเดงกีได้ ดังนี้

  1. อาการไข้ไม่ทราบสาเหตุ ผู้ป่วยที่ติดเชื้อไวรัสเดงกีบางรายอาจมีไข้เพียงอย่างเดียวหรืออาการอื่น ๆ เช่น ปวดเมื่อยตามตัว ผื่น แล้วอาการหายไปเอง
  2. ไข้เดงกีโดยไม่มีการรั่วของพลาสมา ผู้ป่วยที่เป็นไข้เดงกีโดยไม่มีการรั่วของพลาสมาจะมีไข้สูง รับประทานอาหารได้ลดลง ปวดเมื่อยตามตัว ปวดศีรษะ ปวดข้อ คลื่นไส้อาเจียน ผื่น อาจมีเลือดออก เช่น เลือดกำเดาไหล เลือดออกตามไรฟัน ผู้ป่วยอาจมีไข้อยู่ 4-5 วันแล้วหายเองโดยไม่ช็อก
  3. ไข้เดงกีโดยมีการรั่วของพลาสมา ผู้ป่วยที่เป็นไข้เดงกีโดยมีการรั่วของพลาสมาจะมีอาการเหมือนอาการในข้อ 2. แต่เมื่อถึงเวลาไข้เริ่มลงจะมีอาการแย่ลง คือ มีการรั่วของพลาสมาหากมีการรั่วมากจะทำให้ความดันโลหิตต่ำลงและมีภาวะช็อกได้ นอกจากนี้ยังมีภาวะเลือดออกร่วมด้วย ในบางครั้งอาจมีภาวะเลือดออกมากจนต้องให้เลือด ผู้ป่วยที่มีภาวะช็อกจะมีอาการมือเท้าเย็น ชีพจรเบาเร็ว กระสับกระส่าย ปัสสาวะออกน้อยลง โดยปกติการรั่วของพลาสมาจะกินเวลาประมาณ 24-48 ชั่วโมง หลังจากนั้นจะเข้าสู่ระยะฟื้น กล่าวคือ การรั่วของพลาสมาจะลดลงจนหยุด พลาสมาที่เคยรั่วออกไปจะกลับเข้าสู่เส้นเลือดตามเดิม ผู้ป่วยจะเริ่มรับประทานอาหารได้มากขึ้น มีปัสสาวะออกมากขึ้น มีผื่นแดงคันขึ้นตามตัว และแขนขา
  4. การติดเชื้อไวรัสเดงกีที่มีอาการอื่น ๆ ผู้ป่วยจะอาการสมองอักเสบ มีภาวะชัก หรือมีการอักเสบของกล้ามเนื้อหัวใจ

ดังนั้น หากมีไข้สูง ปวดเมื่อยตามตัว เบื่ออาหาร คลื่นไส้อาเจียน มีจุดเลือดออกตามตัว ไม่มีอาการไอ หรือน้ำมูก ร่วมกับมีการระบาดของโรคไข้เลือดออกในชุมชน ต้องระวังว่าจะเป็นไข้เลือดออก หากไม่แน่ใจควรไปพบแพทย์เพื่อให้ได้การวินิจฉัยที่ถูกต้อง

การรักษา ไข้เลือดออก

ผู้ป่วยที่มีอาการในช่วงแรกจะมีไข้สูง เบื่ออาหาร ช่วงที่ไข้สูง มักไม่มีภาวะแทรกซ้อนที่อันตราย สามารถดูแลเบื้องต้นได้ด้วยการให้รับประทานยาลดไข้อย่างพาราเซตามอล หลีกเลี่ยงยาลดไข้กลุ่ม แอสไพริน หรือ ไอบูโพรเฟน เพราะยาเหล่านี้จะทำให้เลือดออกได้ง่ายขึ้น นอกจากนี้ยังสามารถให้ดื่มน้ำเกลือแร่ รับประทานอาหารอ่อน ๆ แต่ควรหลีกเลี่ยงอาหารที่มีสีแดงหรือน้ำตาล เพราะหากผู้ป่วยอาเจียนออกมาจะแยกยากว่าเป็นสีจากอาหารหรือสีจากเลือดออก ให้พักผ่อนมาก ๆ หากใน 3-4 วันอาการยังไม่ดีขึ้น มีอาการอาเจียนมาก ปวดท้องมาก ซึมลง ปัสสาวะออกน้อยลง มีเลือดออกมาก ควรรีบไปพบแพทย์ที่โรงพยาบาล

ในผู้ป่วยที่มีอาการมาก เช่น รับประทานอาหารไม่ได้ อาเจียนมาก มีเลือดออกมาก หรือแพทย์สงสัยว่าอาจเริ่มเข้าสู่ภาวะช็อก แพทย์จะรับรักษาตัวไว้ในโรงพยาบาล แพทย์จะรักษาด้วยการให้น้ำเกลือและเฝ้าติดตามสัญญาณชีพอย่างใกล้ชิด อาจต้องมีการจับชีพจรและวัดความดันทุก 15-30 นาที มีการวัดปริมาณปัสสาวะ หากมีเลือดออกมากจำเป็นต้องให้ส่วนประกอบของเลือด และให้การรักษาอื่น ๆ ตามภาวะแทรกซ้อนที่พบ

ในปัจจุบันยังไม่มียาต้านไวรัสที่จำเพาะต่อไวรัสไข้เลือดออก สำหรับวัคซีนเริ่มมีใช้แล้ว แต่ประสิทธิภาพยังไม่ได้ 100% กล่าวคือสามารถป้องกันการติดเชื้อได้ และสามารถลดความรุนแรงของโรคได้ แต่ไม่ได้ครบ 100% และราคายังค่อนข้างสูง

การป้องกัน

เนื่องจากโรคนี้แพร่โดยยุงลาย ควรมีการกำจัดแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลายอย่างเหมาะสม เช่น ไม่ควรมีน้ำขังตามภาชนะต่าง ๆ ในบ้าน หรือใส่ทรายอะเบท ภาชนะใส่น้ำควรมีฝาปิดให้มิดชิด หากอยู่ในที่ที่อาจมียุงชุม ควรสวมเสื้อ กางเกงขายาว ทายาป้องกันการกัดของยุง และนอนในมุ้งเพื่อไม่ให้ถูกยุงกัด

โรคไข้เลือดออก เกิดจากการติดเชื้อไวรัสเดงกี โดยมียุงลายเป็นพาหะ ส่วนใหญ่ผู้ติดเชื้อไม่มีอาการ ผู้มีอาการส่วนใหญ่จะมีไข้ ปวดเมื่อยตามตัว อาจมีจุดเลือดออก และหายเองได้ มีผู้ป่วยส่วนน้อยที่อาจมีภาวะช็อก การดูแลที่สำคัญคือป้องกันไม่ให้ถูกยุงกัด หากมีไข้และสงสัยว่าอาจเป็นไข้เลือดออก สามารถให้การรักษาแบบประคับประคอง แต่ต้องไปรับการตรวจติดตามไม่ควรรับประทานยากลุ่ม แอสไพริน หรือ ไอบูโพรเฟน หากมีไข้แล้ว 3-4 วันอาการยังไม่ดีขึ้น หรือมีอาการซึมลง ตัวเย็น กระสับกระส่าย ควรรีบไปตรวจที่โรงพยาบาล

 

ข้อมูลจาก

รศ. ดร. นพ.นพพร อภิวัฒนากุล

สาขาวิชาโรคติดเชื้อ

ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ 

คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี 

มหาวิทยาลัยมหิดล

Categories
บทความ

ผลลัพท์จากเลือด….มีความหมายว่าอย่างไร

ผลแลปจากการตรวจเลือด....มีความหมายว่าอย่างไร

การตรวจเลือด (Blood testing) 

เป็นหนึ่งในวิธีการสำคัญเพื่อบ่งชี้การทำงานของอวัยะต่าง ๆ ภายในร่างกาย หรือเป็นการตรวจวิเคราะห์หาปัจจัยเสี่ยงของสุขภาพของแต่ละบุคคล ซึ่งจะช่วยให้แพทย์วินิจฉัยโรคหรือสภาวะบางอย่างที่ผิดปกติของร่างกายได้ เชื่อว่าผู้ป่วยหลาย ๆ ท่านหรือผู้ที่เข้ารับการตรวจสุขภาพเมื่อได้ใบผลการตรวจเลือดจากโรงพยาบาลนั้น มักจะไม่เข้าใจความหมายของค่าต่าง ๆ 

จากข้อจำกัดดังกล่าวบทความนี้จึงได้รวบรวมคำอธิบายและความหมายของค่าต่าง ๆ ไว้เพื่อช่วยให้หลาย ๆ ท่านได้เข้าใจผลเลือดของตนเองได้ดียิ่งขึ้น อย่างไรก็ตามผลการตรวจเลือดเพียงอย่างเดียวไม่สามารถยืนยันความผิดปกติที่พบหรือโรคบางโรคได้ เนื่องจากโรคบางชนิดต้องอาศัยการตรวจหลายอย่างเพื่อยืนยันผลและมีหลายปัจจัยที่ทำให้ผลตรวจเลือดออกมาอยู่ในเกณฑ์ไม่ปกติ เช่น อาหารที่รับประทาน อยู่ในช่วงมีประจำเดือน การออกกำลังกาย ปริมาณแอลกอฮอล์ที่ดื่ม หรือการใช้ยาบางชนิด จึงจำเป็นต้องมีการตรวจในขั้นตอนต่อไปเพิ่มขึ้นตามดุลยพินิจของแพทย์ หรือตรวจซ้ำอีกครั้ง แต่อย่างไรก็ตามการตรวจเลือดเป็นวิธีการพื้นฐานที่สำคัญและจำเป็นที่จะใช้ในการวินิจฉัย ซึ่งในปัจจุบันการตรวจเลือดแบ่งได้หลายประเภทดังนี้ 

การตรวจทางเคมีในเลือด (Blood Chemistry) 
น้ำตาลในเลือด (Blood sugar)

  1. Glucose 
    กลูโคสเป็นน้ำตาลชนิดสำคัญในร่างกายทำหน้าที่เป็นแหล่งพลังงานให้แก่เซลล์ต่าง ๆ ทางการแพทย์ใช้น้ำตาลกลูโคสเป็นสารบ่งชี้โรคเบาหวาน
    • ผู้ใหญ่ 70-100 mg/dL
    • เด็ก 60-100 mg/dL
    • 100-125 mg/dl มีความเสี่ยงต่อการเป็นเบาหวาน
    • >= 126 mg/dl เข้าได้กับเบาหวาน นัดมาตรวจเลือดซ้ำ ถ้าผลตรวจเลือดซ้ำ พบว่า FBS>= 126 mg/dl เป็นจำนวน 2 ใน 3 ครั้งถือว่าเป็นเบาหวาน
  2. HbA1c (Glycated hemoglobin)
     เป็นการตรวจวัด hemoglobin ซึ่งเป็นโปรตีนชนิดหนึ่งในเลือดที่สามารถเกิดปฏิกิริยาทางเคมีกับน้ำตาลที่อยู่ในเลือด และคงอยู่ในเลือดของเราได้นานถึง 8-12 สัปดาห์ ดังนั้นการตรวจวัดระดับของ HbA1c จึงสามารถใช้เป็นตัวบ่งชี้ค่าเฉลี่ยของระดับน้ำตาลในเลือด ณ ช่วงเวลา และใช้ติดตามการควบคุมระดับน้ำตาลในระยะยาวของผู้ป่วยเบาหวานได้
    • ค่าปกติ 4.8-6.0 %
    • ค่าสูง >6.5% เป็นเบาหวาน

ไขมัน (Lipid profile) 

วัตถุประสงค์ของการตรวจวัดระดับไขมันในเลือดเพื่อใช้บ่งชี้ความเสี่ยงต่อโรคหัวใจ โรคสมองขาดเลือดจากการอุดตัน หรือตีบตันของเส้นเลือด และใช้ติดตามการรักษาในผู้ป่วยที่ได้รับยาลดระดับไขมันในเลือด

  1. Low-density lipoprotein (LDL-cholesterol) 
    เป็นไขมันชนิดที่ทำหน้าที่นำพา cholesterol ในกระแสเลือดเรียก LDL-cholesterol ว่า ไขมันเลว
    • ค่าปกติ 40 mg/dL (ผู้หญิง), >50 mg/dL (ผู้ชาย)
    • ค่าต่ำ – อาจมีความเสี่ยงต่อโรคหลอดเลือดแข็ง (atherosclerosis) ส่งผลให้เกิดการตีบตันของเส้นเลือดในอวัยวะต่างๆ เช่น หัวใจ และสมอง
  2. Total cholesterol
    เป็นไขมันชนิดหนึ่ง ทำหน้าที่เป็นสารตั้งต้นในการผลิตฮอร์โมนต่างๆ เอนไซม์ และเป็นส่วนประกอบที่สำคัญของผนังเซลล์ การตรวจวัดระดับคลอเลสเตอรอลจะบ่งชี้ระดับไขมันโดยรวม ทั้ง HDL-cholesterol, LDL-cholesterol และ triglyceride ภายในเลือด 
    ค่าปกติ
Categories
บทความ

CPR คือ ทุกเรื่องควรรู้เกี่ยวกับปฏิบัติการช่วยฟื้นคืนชีพ

CPR คือ ทุกเรื่องควรรู้เกี่ยวกับปฏิบัติการช่วยฟื้นคืนชีพ

การเกิดภาวะหัวใจล้มเหลวเฉียบพลันเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้เสมอๆ รู้หรือไม่ว่าคนไทยเราเสียชีวิตด้วยโรคหัวใจเฉลี่ยชั่วโมงละ 7 คน แต่ถ้าหากช่วงจังหวะที่เราอยู่ในสถานการณ์ที่มีคนเกิดเหตุการณ์ที่หัวใจหยุดเต้นกระทันหัน หรือการหายใจไม่ปกติ เทคนิกการปฐมพยาบาลที่เรียกว่า CPR คือ สิ่งที่จะช่วยชีวิตคนอื่นและลดสถิติดังกล่าวได้ ในบทความนี้ Jorportoday จะมาอธิบายถึง CPR ว่าคืออะไร ขั้นตอนในการทำ ความสำคัญและเหตุผลที่คุณเองควรได้รับการฝึกฝนเช่นกันครับ

CPR คือ

Cardiopulmonary Resuscitation หรือ CPR คือ เทคนิกการปฐมพยาบาลที่สามารถใช้ได้ในกรณีที่มีคนหายใจไม่ปกติหรือหัวใจหยุดเต้น จากสาเหตุต่างๆ เช่น  หัวใจวายหรือจมน้ำ เมื่อผู้ป่วยที่มีอาการหัวใจเต้นผิดปกติหรือหัวใจหยุดเต้นร่างกายจะไม่ได้รับเลือดใหม่ที่มีออกซิเจนไปเลี้ยงอวัยวะในร่างกาย การขาดเลือดที่มีออกซิเจนในช่วงเวลาไม่กี่นาทีอาจทำให้สมองเกิดความเสียหายได้ การทำ CPR จะช่วยทำให้เลือดที่มีออกซิเจนไหลเวียนไปยังสมองและอวัยวะส่วนอื่นๆ เพื่อรอการรักษาอย่างถูกต้องจากแพษย์ต่อไป

สำหรับคนที่ไม่เคยได้เรียนเกี่ยวกับการ CPR หรือไม่แน่ใจว่าจะทำอย่างไรให้ถูกต้อง โปรดทราบว่าเมื่อเกิดเหตุมีคนหัวใจหยุดเต้นอยู่ตรงหน้าให้พยายามปั้มหัวใจโดยการกดหน้าอกอย่างแรงและเร็ว ถือเป็นการปฐมพยาบาลเบื้องต้นได้เช่นกัน บางครั้งการทำ CPR ในช่วงเวลาสั้นๆ อาจหมายถึงความเป็นและความตายเลยทีเดียว

จากการรายงานสถิติขององค์การอนามัยโลก (WHO) ในปี 2563 พบว่า

“กลุ่มโรคหัวใจและหลอดเลือดเป็นสาเหตุการตายอันดับ 1 ของคนทั่วโลก มีผู้เสียชีวิตจากกลุ่มโรคนี้ประมาณ 17.9 ล้านคน และจากสถิติข้อมูลการเสียชีวิตของคนไทย ในกลุ่มโรคหัวใจและหลอดเลือด พบว่า ร้อยละ 80 เสียชีวิตด้วยกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน อีกทั้งข้อมูลจากกรมการแพทย์ ปี 2557 พบว่า ประเทศไทยมีค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลเฉลี่ยของผู้ป่วยโรคหัวใจถึง 6,906 ล้านบาทต่อปี ”

คำแนะนำจาก American Heart Association :

  • สำหรับคนที่ไม่ยังเคยได้รับการฝึกฝน : หากคุณไม่ได้รับการฝึกทำ CPR หรือกังวลเกี่ยวกับการช่วยหายใจ ให้ทำการ CPR ด้วยมือเท่านั้น โดยทำการกดหน้าอกอย่างต่อเนื่อง 100 ถึง 120 ครั้งต่อนาทีจนกว่าแพทย์จะมาถึง (ส่วนนี้มีอธิบายรายละเอียดเพิ่มเติมในหัวข้อถัดไปครับ) โดยที่คุณไม่จำเป็นต้องพยายามช่วยหายใจ (ฝายปอด)
  • อบรมแล้วพร้อมลุย : หากคุณได้รับการฝึกฝนมาเป็นอย่างดีและมั่นใจในความสามารถของคุณ ให้ตรวจดูว่ามีชีพจรและการหายใจหรือไม่ หากไม่มีชีพจรหรือการหายใจภายใน 10 วินาที ให้เริ่มกดหน้าอก เริ่ม CPR ด้วยการกดหน้าอก 30 ครั้ง ก่อนเป่าลมหายใจเพื่อช่วยชีวิตสองครั้ง
  • หากเคยฝึกหัดแต่ขึ้นสนิมไปแล้ว : หากคุณเคยได้รับการฝึก CRP มาแล้วแต่ไม่มั่นใจในความสามารถของตัวเอง ให้กดหน้าอกในอัตรา 100 ถึง 120 นาทีต่อนาที (รายละเอียดอธิบายด้านล่าง) คล้ายกับคนที่ยังไม่เคยผ่านการฝึก!!

คำแนะนำดังกล่าวสามารถใช้ได้กับสถานการณ์ที่เป็นผู้ใหญ่ เด็ก และทารก ที่ต้องการทำ CPR แต่ไม่ใช่ทารกแรกเกิด (ทารกอายุไม่เกิน 4 สัปดาห์)

ก่อนการเริ่มทำ CPR ควรปฏิบัติตามแนวทาง “ห่วงโซ่แห่งการรอดชีวิต” (Chain of Survival) เพื่อเป็นหลักการช่วยฟื้นคืนชีพแนวทางเดียวกันทั่วโลกและเป็นข้อตกลงร่วมกันในการปฏิบัติ ประกอบด้วย

  1. การประเมินผู้ป่วยว่ายังรู้สึกตัวอยู่หรือไม่ หากไม่มีสติ คลำหาชีพจรไม่พบ ควรเรียกขอความช่วยเหลือหรือเรียกบริการการแพทย์ฉุกเฉินจากหน่วยงานต่าง ๆ ทันที เช่น ศูนย์เอราวัณ (เฉพาะในพื้นที่ กทม.) โทร. 1646, สถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ โทร. 1669 (ทั่วประเทศ)
  2. การกดหน้าอกอย่างถูกต้องและทันท่วงที (ทำ CPR)
  3. การทำการช็อกไฟฟ้าหัวใจ (AED) ภายใน 3-5 นาที เมื่อมีข้อบ่งชี้
  4. การช่วยฟื้นคืนชีพขั้นสูงอย่างมีประสิทธิภาพ
  5. การดูแลภายหลังการช่วยฟื้นคืนชีพ

สำหรับอาการของผู้บาดเจ็บที่ควรได้รับการช่วยเหลืออย่างเร่งด่วนด้วยการทำ CPR สามารถสังเกตได้ดังนี้

  1. หมดสติ ไม่รู้สึกตัว
  2. ไม่หายใจ หรือหายใจเฮือก
  3. หัวใจหยุดเต้น

ขั้นตอนการทำ CPR

การทำ CPR หรือการปฏิบัติการช่วยฟื้นคืนชีพขั้นพื้นฐานประกอบด้วย 3 ขั้นตอนใหญ่สำคัญ คือ A B C

  • A – Airway : การเปิดทางเดินหายใจให้โล่ง
  • B – Breathing : การช่วยให้หายใจ
  • C – Circulation : การนวดหัวใจเพื่อช่วยให้เกิดเลือดไหลเวียนอีกครั้ง

ในปี 2010 คู่มือการช่วยเหลือชีวิตเบื้องต้นนั้นได้มีการจัดลำดับขั้นตอนในการช่วยชีวิตใหม่ ในปัจจุบันแทนที่จะใช้ A-B-C ซึ่งมาจากทางเดินหายใจและการหายใจแล้วค่อยกดหน้าอกนั้น American Heart Association ได้สอนให้ผู้ช่วยเหลือทำตามขั้นตอน C-A-B แทน คือกดหน้าอกก่อนแล้วค่อยช่วยทางเดินหายใจและการหายใจ

ในบทสรุปของการเปลี่ยนแปลงนี้ American Heart Association ได้อธิบายไว้ว่า

“การใช้ลำดับการช่วยชีวิตแบบ A-B-C นั้นมักทำให้การกดหน้าอกนั้นเกิดขึ้นช้าในขณะที่ผู้ช่วยเหลือต้องการเปิดทางเดินหายใจ และช่วยหายใจหรือมองหาอุปกรณ์สำหรับการช่วยหายใจ การเปลี่ยนลำดับการช่วยเหลือมาเป็น C-A-B นั้นจะทำให้มีการเริ่มกดหน้าอกได้เร็วขึ้นและการช่วยหายใจก็เกิดขึ้นช้ากว่าเล็กน้อย คือหลังจากจบการกดหน้าอกรอบแรก (การกดหน้าอก 30 ครั้งสามารถทำได้ภายในประมาณ 18 วินาที)”

 

ในการเริ่มทำ CPR ให้ทำตามขั้นตอน  C – A B

C – Circulation : การนวดหัวใจเพื่อช่วยให้เกิดเลือดไหลเวียนอีกครั้ง

ปั๊มหัวใจช่วยให้ผู้บาดเจ็บมีการไหลเวียนของเลือดในร่างกายอีกครั้งหนึ่ง ทั้งนี้หลักในการปั๊มหัวใจ คือ ต้องกดให้กระดูกหน้าอก (Sternum) ลงไปชิดกับกระดูกสันหลัง ซึ่งจะทำให้หัวใจที่อยู่ระหว่างกระดูกทั้งสองอันถูกกดไปด้วย ทำให้มีการบีบเลือดออกจากหัวใจไปเลี้ยงร่างกาย เสมือนการบีบตัวของหัวใจ ซึ่งมีขั้นตอนในการปั๊มหัวใจตามนี้

1. จัดให้ผู้ป่วยนอนหงายราบ บนพื้นแข็ง ถ้าพื้นอ่อนนุ่มให้สอดไม้กระดานแข็งใต้ลำตัว

2. วัดตำแหน่งที่เหมาะสำหรับการนวดหัวใจ โดยใช้นิ้วชี้และนิ้วกลางข้างที่ถนัด วาดจากขอบชายโครงล่างของผู้ป่วยขึ้นไป จนถึง ปลายกระดูกหน้าอก วัดเหนือปลายกระดูกหน้าอกขึ้นมา 2 นิ้วมือ แล้วใช้สันมือข้างที่ไม่ถนัดวางบนตำแหน่งดังกล่าว และใช้สันมือข้างที่ถนัดวางทับลงไป และเกี่ยวนิ้วมือให้นิ้วมือที่วางทับแนบชิดในร่องนิ้วมือของมือข้างล่าง (interlocked fingers) ยกปลายนิ้วขึ้นจากหน้าอก

3. ผู้ช่วยเหลือยืดไหล่และแขนเหยียดตรง จากนั้นปล่อยน้ำหนักตัวผ่านจากไหล่ไปสู่ลำแขนทั้งสองและลงไปสู่กระดูกหน้าอกในแนวตั้งฉากกับลำตัวของผู้เจ็บป่วยในผู้ใหญ่และเด็กโต กดลงไปลึกประมาณ 1.5 – 2 นิ้ว ให้กดลงไปในแนวดิ่ง และอย่ากระแทก

4. ผ่อนมือที่กดขึ้นให้เต็มที่เพื่อให้ทรวงอกมีการขยายตัว และหัวใจได้รับเลือดที่อุดมไปด้วยออกซิเจน ขณะที่ผ่อนมือไม่จำเป็นต้องยกมือขึ้นสูง มือยังคงสัมผัสอยู่ที่กระดูกหน้าอก อย่ายกมือออกจากหน้าอก จะทำให้มีเลือดไปเลี้ยงส่วนต่างๆ ในร่างกาย และมีเลือดไหลกลับเข้าสู่หัวใจ ทำให้มีการไหลเวียนเลือดในร่างกาย

5. การกดนวดหัวใจจะนวดเป็นจังหวะสม่ำเสมอ ในอัตราเร็ว 100 ครั้ง/นาที ถ้าน้อยกว่านี้จะไม่ได้ผล

 

A – Airway : การเปิดทางเดินหายใจให้โล่ง

การเปิดทางเดินหายใจให้โล่ง เพราะโดยมากผู้บาดเจ็บที่หมดสติจะมีภาวะโคนลิ้นและกล่องเสียงตกลงไปอุดทางเดินหายใจส่วนบน ดังนั้นจึงต้องเปิดทางเดินหายใจให้โล่ง โดยพิจารณาจาก

  • หากผู้ป่วยไม่มีการบาดเจ็บที่ศีรษะหรือคอ จะใช้วิธีการแหงนหน้าและเชยคาง (Head tilt – Chin lift)
  • หากสงสัยว่าผู้ป่วยมีอาการเจ็บของไขสันหลัง ให้ใช้วิธี Manual Spinal Motion Restriction โดยการวางมือสองข้างบริเวณด้านข้างของศีรษะ เพื่อป้องกันการเคลื่อนของศีรษะ
  • หากสงสัยว่าผู้ป่วยมีอาการบาดเจ็บที่กระดูกสันหลังบริเวณคอให้เปิดทางเดินหายใจด้วยวิธียกขากรรไกร (Jaw Thrust) คือ ดึงขากรรไกรทั้งสองข้างขึ้นไปด้านบน โดยผู้ช่วยเหลือจะอยู่เหนือศีรษะของผู้ป่วย

 

B – Breathing : การช่วยให้หายใจ

การช่วยหายใจ เนื่องจากการหายใจหยุด ร่างกายจะมีออกซิเจนคงอยู่ในปอดและกระแสเลือด แต่ไม่มีสำรองไว้ใช้ดังนั้น เมื่อหยุดหายใจ จึงต้องช่วยหายใจ เป็นวิธีที่จะช่วยให้ออกซิเจนเข้าสู่ปอดผู้ป่วยได้ ซึ่งออกซิเจนที่เป่าออกไปนั้นมีออกซิเจนประมาณ 16-17 % ซึ่งเพียงพอสำหรับใช้ในร่างกาย สามารถทำได้หลายวิธี คือ ด้วยการเป่าปาก (mouth to mouth) เป่าจมูก (mouth to nose) และวิธีการกดหลังยกแขนของโฮลเกอร์ – นิลสัน (back pressure arm lift or Holger – Nielson method) ทำได้ดังนี้

  • กรณีเป่าปาก บีบจมูกของผู้ป่วย ผู้ช่วยเหลือหายใจเข้าปอดลึก ๆ ซัก 2-3 ครั้ง หายใจ เข้าเต็มที่แล้วประกบปากให้แนบสนิทกับปากของผู้ป่วย แล้วเป่าลมหายใจเข้าไปในปอดให้เต็มที่
  • กรณีเป่าจมูก ใช้ในรายที่มีการบาดเจ็บในปาก หรือในเด็กเล็ก ต้องปิดปากของผู้ป่วยก่อน และเป่าลมหายใจเข้าทางจมูกแทน

ขณะที่เป่าให้เหลือบมองยอดอกของผู้รับบริการด้วยว่ามีการยกตัวขึ้นหรือไม่ การเป่าลมหายใจของผู้ช่วยเหลือผ่านทางปากหรือจมูก จะต้องทำอย่างช้าๆ ปล่อยปากหรือผู้ช่วยเหลือออกจากปากหรือจมูกของผู้ป่วย เพื่อให้ผู้ป่วยหายใจออก ให้ ผายปอด 2 ครั้ง ๆ ละ 1-1.5 วินาที (แต่ละครั้งได้ออกซิเจน 16 %) อัตราเร็วในการเป่า คือ 12 -15 ครั้ง / นาที ใกล้เคียงกับการหายใจปกติ

CPR คือ

4 เหตุผลที่คุณควรผ่านการฝึกและได้รับใบรับรองการทำ CPR

ในหัวข้อก่อนหน้าผมได้อธิบายถึงขั้นตอนการทำ CPR คร่าวๆ เพื่อนให้เพื่อนๆ ได้ทราบแต่อย่างไรก็ตามข้อความในบทความนี้เป็นเพียงไกด์ไลน์เท่านั้น การไปฝึกอบรมกับผู้เชี่ยวชาญจะทำให้คุณได้ทั้งความรู้ ประสบการณ์จริง

การฝึกอบรมเพื่อได้ใบรับรองการทำ CPR อาจดูเป็นเรื่องใหญ่ในการเสียเงินเสียเวลาไปเรียนโดยเพาะคนที่มีเวลาและทรัพยากรจำกัด แต่เชื่อหรือไม่ว่าเวลาในการเรียนทำ CPR ในไม่กี่ชั่วโมงนั้นคุณสามารถเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ได้มหาศาลและนี้คือ 4 เหตุผลที่ผมอยากแนะนำครับ

1.คุณสามารถช่วยชีวิตใครบางคนได้

เพื่อให้ทุกคนเข้าใจผลกระทบของการทำ CPR ในกรณีฉุกเฉินได้ดีขึ้น ผมขออนุญาตนำสถิติจาก American Heart Association (AHA)

  • 70% ของชาวอเมริกันรู้สึกหมดหวังไร้สิ้นหนทางที่จะตอบสนองต่อกรณีฉุกเฉินเกี่ยวกับเหตุการด้านการหยุดหายใจหรืออัตราการเต้นของหัวใจผลิตปกติ เนื่องจากไม่เคยได้รับการฝึกทำ CPR มาก่อน
  • มีเพียง 32% ของผู้ป่วยที่เกิดภาวะหัวใจหยุดเต้นเท่านั้นที่ได้รับการช่วยเหลือโดยการ CPR จากผู้ที่ยืนดูอยู่ข้างๆ
  • 4/5 ของเหตุหัวใจหยุดเต้นเกิดขึ้นที่บ้าน หมายความว่าผู้ป่วยที่มีโอกาสหัวใจหยุดเต้นนั้นอาจจะเป็นคนที่คุณรัก
  • ทุกๆ นาทีที่ผ่านไปโดยไม่ได้ทำ CPR และกระตุ้นหัวใจ โอกาศรอดของผู้ป่วยที่มีภาวะหัวใจหยุดเต้นจะลดลง 7-10%

ด้วยความรู้ของการเข้ารับการอบรมและฝึกฝนการทำ CPR โดยบุคคลที่สามาถรับรอง CPR สามารถช่วยลดการสูญเสียชีวิตในกรณีฉุกเฉินได้

2.การสร้างความแตกต่างระหว่างความเป็นและความตาย

ภาวะหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลัน (SCA) เป็นปัญหาที่สำคัญ เนื่องจากเมื่อมีภาวะหัวใจหยุดเต้นเกิดขึ้นเลือดจะหยุดไหลเวียนไปเลี้ยงสมองและอวัยะส่วนต่างๆ ทั่วร่างกาย ดังนั้นผู้ที่เกิดภาวะหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลันที่ไม่ได้รับการดูแลภายใน 2-3 นาทีหลังเกิดเหตุมีโอกาศเสียชีวิตสูง

จากสถิติของ American Heart Association อีกเช่นเคยได้ชี้ให้เห็นว่าผู้ที่เกิดภาวะหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลันประมาณ 92% เสียชีวิตก่อนถึงโรคพยาบาล อย่างไรก็ตามถ้าผู้ป่วยได้รับการทำ CPR ทันทีสามารถเพิ่มโอกาศรอดชีวิตได้มากขึ้น สองหรือสามเท่า

3.เป็นบุคคลที่มีค่าในองค์กร

ลองจินตนาการว่าหากคุณกำลังทำงานแล้วจู่ๆ เพื่อนร่วมงานของคุณเกิดภาวะหัวใจหยุดเต้น แต่ถ้าคุณได้รับการฝึกอบรมมาแล้วคุณสามารถให้ความช่วยเหลือได้ทันที

การเรียนรู้การทำ CPR จะช่วยเพิ่มคุณค่าให้กับองค์กรเป็นส่วนหนึ่งของอาชีวอนามัยและความปลอดภัย โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าคุณอยู่ในหน่วยงานด้านความปลอดภัยด้วยแล้วการเรียนทำ CPR คือสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง

4.เป็นส่วนหนึ่งของการกระตุ้นให้บุคคลรอบข้างเข้ารับการอบรมทำ CPR

สิ่งที่ดีที่สุดประการหนึ่งเกี่ยวกับการทำ CPR คือ ทุกคนสามารถเรียนรู้ได้ ไม่ว่าคุณจะเป็นผู้ใหญ่ ผู้ปกครอง เด็กนักเรียน หรือบุคคลอื่น การทำ CPR จะช่วยให้แต่ละคนมีทักษะ ในการช่วยชีวิตที่จำเป็นและเมื่อคุณรู้ว่าจำเป็นต่อทั้งสุขภาพของคุณเองและคนรอบข้าง การแนะนำให้คนรอบตัวสามารถทำ CPR ได้จึงเป็นเรื่องที่ดี

แหล่งที่มา : https://www.jorportoday.com/how-to-perform-cpr/

Categories
บทความ

ดูวิธีใช้ AED และทำ CPR ช่วยคนหัวใจหยุดเต้นภายใน 4 นาที

ดูวิธีใช้ AED และทำ CPR ช่วยคนหัวใจหยุดเต้นภายใน 4 นาที

ทุกๆ 1 ชั่วโมง คนไทยเสียชีวิตจากภาวะหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลันประมาณ 6 คน หรือเท่ากับเสียชีวิตมากถึง 54,000 คนต่อปี  ภาวะหัวใจหยุดเต้นถือเป็น “ภัยเงียบ” ที่เกิดขึ้นกับใครก็ได้  โดยไม่จำกัดอายุและไม่อาจคาดการณ์ล่วงหน้า

      หากพบคนที่หัวใจหยุดเต้นเฉียบพลัน  เรามีเวลาเพียงแค่ 4 นาทีเท่านั้น  ที่จะช่วยชีวิตผู้ป่วยด้วยการทำ CPR (ปั๊มหัวใจผายปอดกู้ชีพ) เพราะทันทีที่หัวใจหยุดทำงาน  เลือดจะไม่ถูกสูบฉีดไปเลี้ยงสมองทำให้สมองตายเนื่องจากขาดเลือดและออกซิเจน 

      การทำ CPR ไม่ยากอย่างที่คิด  แต่สิ่งที่สำคัญคือผู้ช่วยเหลือต้องไม่ตื่นเต้นตกใจ  แล้วทำตามขั้นตอนต่อไปนี้

  1. เพื่อพบคนหมดสติ  ให้ตบไหล่พร้อมปลุกเรียก “คุณ! คุณ! คุณ!
  2. ถ้าผู้ป่วยไม่รู้สึกตัว  รีบตะโกนขอความช่วยเหลือและโทรแจ้ง 1669 (สถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ)
  3. เช็กดูว่าผู้ป่วยหัวใจหยุดเต้นหรือไม่  โดยเอาหูแตะบริเวณจมูกของคนไข้  ตามองที่หน้าอก  หากหน้าอกคนไข้ไม่ขยับ  หน้าท้องไม่กระเพื่อม  แสดงว่าหยุดหายใจให้ปั๊มหัวใจทันที
  4. สำหรับการปั๊มหัวใจ  ให้ปั๊ม 100-120 ครั้งต่อนาที  ปั๊มต่อเนื่องนาน 2 นาที  แล้วสลับคนปั๊ม  ควรปั๊มไปเรื่อยๆ จนกว่าทีมกู้ภัยจะมาถึง
  5. ในขณะเดียวกัน  ถ้าในสถานที่เกิดเหตุมีเครื่อง AED (เครื่องกระตุกไฟฟ้าหัวใจ) ให้รีบไปนำมาช่วยผู้ป่วยให้เร็วที่สุด
  6. ส่วนวิธีการใช้เครื่อง AED นั้น  ให้กดปุ่มเปิดเครื่อง  แปะแผ่นนำไฟฟ้าในตำแหน่งที่ลูกศรบอก  จากนั้นทำตามที่เครื่องสั่งระหว่างรอทีมกู้ภัย

 

เหตุการณ์ไม่คาดฝันเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา  ทักษะการทำ CPR จึงสำคัญ

      ข้อมูลจากกระทรวงสาธารณสุขระบุว่า  แต่ละปีมีคนไทยเสียชีวิตจากภาวะหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลันกว่า 54,000 คน หรือเฉลี่ยแล้วเท่ากับเสียชีวิตประมาณ 6 คน ทุกๆ 1 ชั่วโมง  ในทางการแพทย์ภาวะหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลันถือเป็น “ภัยเงียบ” ที่เกิดขึ้นกับใครก็ได้  ไม่เว้นแม้แต่คนที่ออกกำลังอย่างสม่ำเสมอ

      ปรัชญา โสภา  หนุ่มวัยยี่สิบปลาย  เคยหัวใจหยุดเต้นขณะวิ่ง  โดยปกติเขาเป็นคนสุขภาพแข็งแรงและซ้อมวิ่งระยะ 5-10 กิโลเมตรอย่างสม่ำเสมอ  เฉลี่ย 3 วันต่อสัปดาห์  แต่เหตุไม่คาดฝันก็เกิดขึ้นในเช้ามืดวันหนึ่งของการแข่งขันมินิมาราธอนที่ จ.อยุธยา

ปรัชญา โสภา นักวิ่งอายุ ที่เคย ‘หัวใจหยุดเต้น’ – ภรรยาและลูกสาว

      “ประมาณกิโลเมตรที่สาม  มันเหมือนจะขาดใจครับ  แต่ไม่คิดว่าผิดปกติอะไร  ทีนี้ผมก็วิ่งต่อไปเรื่อยๆ จนรู้สึกว่าร่างกายเริ่มอยู่ตัว  ไม่ค่อยเหนื่อยแล้ว  จำได้ว่าวิ่งไปสักพักภาพก็ตัดเลย”  ปรัชญาเล่าย้อนถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อปี 2560

      โชคดีในครั้งนั้นคนที่วิ่งตามหลังเขามาคือ  พงษ์ศักดิ์ อุบลวรรณี  พยาบาลวิชาชีพชำนาญการ  ซึ่งมีความรู้เรื่องการทำ CPR  “พี่ก็ปั๊มไปตามรอบ ขณะที่ปั๊มหน้าเริ่มเขียวแล้ว  มีน้องอีกคนหนึ่งที่เป็นนักวิ่งด้วยกันคอยช่วยอยู่ข้างๆ  แล้วหน่วยกู้ชีพก็มา ใช้เครื่อง AED ช่วยคนไข้จนหัวใจเริ่มกลับมาเต้น”  พงษ์ศักดิ์เล่า

พงษ์ศักดิ์ อุบลวรรณี พยาบาลวิชาชีพชำนาญการ ‘ผู้ช่วยชีวิต’ นักวิ่งที่หัวใจหยุดเต้น

      ปรัชญารู้สึกตัวอีกทีที่โรงพยาบาล  เขาบอกว่า “เหมือนได้โอกาสที่สอง”  และนึกไม่ออกเลยว่าหากวันนั้นเขาเสียชีวิตไปจริงๆ ภรรยากับลูกสาวอีก 2 คนที่ยังเล็กอยู่ทั้งคู่ จะใช้ชีวิตต่อไปอย่างไร 

      แต่การรอดชีวิตของปรัชญาถือว่าเป็นส่วนน้อย  เมื่อเทียบกับสถิติการเสียชีวิตจากภาวะหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลันของคนไทยที่ได้กล่าวไปข้างต้น

 

ถ้าทำ CPR พร้อมกับใช้เครื่อง AED สามารถเพิ่มโอกาสรอดชีวิตได้ 10 เท่า

      CPR เป็นการกดนวดหัวใจเพื่อกระตุ้นอัตราการไหลเวียนของเลือด  ส่วนการผายปอดคือการช่วยเติมออกซิเจนเข้าไป  แต่ไม่ได้ทำให้หัวใจกลับมาทำงาน  ดังนั้น AED หรือเครื่องกระตุกไฟฟ้าหัวใจจึงมีความสำคัญ  เพราะการทำงานของเครื่อง AED คือปล่อยกระแสไฟฟ้าไปกระตุกหัวใจของผู้ป่วยให้กลับมาเต้นอีกครั้ง

      “ในกลุ่มคนไข้ที่หมดสติแล้วมีภาวะหัวใจหยุดเต้น  การทำ CPR อย่างเดียวอัตราการรอดชีวิตจะอยู่ที่ประมาณ 3-5 เปอร์เซ็นต์  แต่ถ้าใช้เครื่อง AED ร่วมด้วยอัตราการรอดชีวิตเพิ่มขึ้นได้ประมาณ 10 เท่า”  ผศ.นพ.นครินทร์ ศิริทรัพย์  หนึ่งในกรรมการดำเนินงานโครงการกระตุกหัวใจเพื่อคนไทยทุกคน อธิบาย

      ผศ.นพ.นครินทร์  ยังกล่าวอีกว่า  มีโรคหลายโรคที่ทางการแพทย์พยายามป้องกัน  เช่น  โรคหัวใจ  บางชนิดสามารถตรวจทราบสาเหตุได้  แต่บางชนิดก็ไม่อาจทราบ  เพราะสาเหตุที่ทำให้เกิดความผิดปกติมีมากมาย  โรคเหล่านี้ถือเป็น “ภัยเงียบ”  ดังนั้นแม้ผู้ป่วยจะดูแลสุขภาพอย่างดี  ออกกำลังกายดี  โรคเหล่านี้ก็อาจเกิดขึ้นได้

      อย่างไรก็ตาม  ปัจจุบันประเทศไทยยังขาดแคลนเครื่อง AED ในพื้นที่สาธารณะ  โดยเฉพาะพื้นที่ต่างจังหวัด  นอกจากนั้นคนไทยส่วนใหญ่ก็ยังขาดความเข้าใจวิธีการทำ CPR และใช้เครื่อง AED  ทำให้ผู้พบเห็นเหตุการณ์คนแรกๆ ไม่สามารถช่วยเหลือผู้ป่วยได้ทันเวลา

 

รู้ไว้  ไม่ได้ใช้  ดีกว่าต้องใช้…แล้วไม่รู้

      สำหรับแฟนข่าวเวิร์คพอยท์ที่ต้องการเรียนรู้วิธีการทำ CPR และใช้เครื่อง AED  เพื่อเตรียมความพร้อมไว้สำหรับเหตุการณ์ฉุกเฉิน  สามารถเลื่อนขึ้นไปชมคลิปสาธิตที่ด้านบนซึ่งอธิบายไว้โดย พว.พนมกรณ์ แสงอรุณ  พยาบาลวิชาชีพแผนกฉุกเฉิน  ฟังง่ายๆ แต่ละเอียดและครบทุกขั้นตอนภายใน 4 นาที

แหล่งที่มา : https://workpointtoday.com/aed-cpr/