Categories
บทความ

โรคเยื่อบุตาอักเสบจากภูมิแพ้ คัน เคืองตาเรื้อรัง

โรคเยื่อบุตาอักเสบจากภูมิแพ้ คัน เคืองตาเรื้อรัง

โรคเยื่อบุตาอักเสบจากภูมิแพ้ (Allergic conjunctivitis) เกิดจากร่างกายมีปฏิกิริยาตอบสนองต่อสิ่งที่แพ้ เป็นภาวะที่มีการอักเสบหรือติดเชื้อที่ด้านในของเปลือกตาบนและล่างและเยื่อบุด้านนอกของตาขาว ซึ่งสาเหตุของภาวะเยื่อบุตาอักเสบ อาจจะเกิดจาก การติดเชื้อจากเชื้อโรคต่างๆ เช่น ไวรัส แบคทีเรีย หรือเกิดจากภูมิแพ้ก็ได้

โรคเยื่อบุตาอักเสบจากภูมิแพ้เกิดขึ้นได้อย่างไร

อาการทางภูมิแพ้มักจะเกิดที่ตาเนื่องจากตาเป็นอวัยวะที่มีเลือดไปเลี้ยงมาก เส้นเลือดเหล่านี้ตอบสนองต่อสารภูมิแพ้ได้ง่าย และที่สำคัญตาสัมผัสกับสิ่งแวดล้อมภายนอก เมื่อคุณได้รับสารก่อภูมิแพ้ เช่น เกสรดอกไม้ ฝุ่น รังแคสัตว์ ยา ควันบุหรี่ สารภูมิแพ้เหล่านั้นจะละลายในน้ำตา และกลับสู่เยื่อบุตาซึ่งจะสร้างสารต่อต้านสารภูมิแพ้ที่เรียกว่า Antibody IgE เมื่อภูมิจับกับ antibody จะเกิดการหลั่งสารหลายอย่างทำให้เกิดปฏิกิริยาภูมิแพ้ขึ้นตาของคุณ ก็จะมีอาการเคือง แดง และมีน้ำตาไหล

ชนิดของเยื่อบุตาอักเสบจากภูมิแพ้

 

  1. ภูมิแพ้ขึ้นตาตามฤดูกาล (Seasonal allergic conjunctivitis) เป็นเยื่อบุตาอักเสบจากภูมิแพ้ที่พบได้บ่อย มักจะมีอาการน้ำมูกไหลร่วมด้วยอาการที่สำคัญ คือ มีน้ำตาไหลเคืองตา มักจะเป็นกับตาสองข้าง อาการจะเป็นตามฤดูกาลหรือช่วงเวลาที่มีฝุ่นละอองมาก มักแพ้เกสรหญ้า เกสรดอกไม้ ซึ่งแตกต่างกันไปตามพื้นที่ทางภูมิศาสตร์และสภาพอากาศในแต่ละวัน
  2. ภูมิแพ้ขึ้นตาที่เป็นตลอดทั้งปี (Perennial allergic conjunctivitis) เป็นการเกิดภูมิแพ้ที่เกิดจากสารภูมิแพ้ที่เกิดขึ้นตลอดปีพบได้น้อยกว่าชนิดแรก อาการมักจะน้อยกว่าชนิดแรก
  3. Atopic Keratoconjunctivitis เป็นการอักเสบเรื้อรังของเยื่อบุตาและเปลือกตาหรือแก้ม มักจะพบร่วมกับผื่น atopic ของผิวหนังที่หนังตา และหน้าอาการที่พบร่วมคือ ตาแดง เคืองตา คัน น้ำตาไหล สัมพันธ์กับไรฝุ่น ขนสัตว์
  4. ภูมิแพ้ขึ้นตาเฉียบพลัน (Acute Allergic Conjunctivitis) จะเกิดขึ้นเมื่อผู้ป่วยได้รับสารก่อภูมิแพ้ในเวลาไม่นาน มักทำให้ดวงตามีสีแดง คัน น้ำตาไหล และเปลือกตาบวม หรืออาจมีอาการน้ำมูกไหลร่วมด้วย

ลักษณะสำคัญที่บ่งบอกเยื่อบุตาอักเสบเกิดจากภูมิแพ้

 

  • อาการคันในตาเป็นอาการที่สำคัญหากติดเชื้อจะเป็นอาการปวดแสบร้อน
  • น้ำตาจะเป็นน้ำใส หากติดเชื้อจะเป็นเมือก หรือหนองมักจะมีการอักเสบของเปลือกตา
  • อาการอื่นๆ เช่น ตาแดง มีขี้ตาใส ตาสู้แสงไม่ได้ เปลือกตาบวม เคืองตา
  • ผู้ป่วยมีประวัติภูมิแพ้ในครอบครัว

การป้องกันเยื่อบุตาอักเสบเกิดจากภูมิแพ้

ควรจะหลีกเลี่ยงจากสารก่อภูมิแพ้ เช่น ฝุ่น หรือ ละอองเกสรดอกไม้ รวมถึงหลีกเลี่ยงการเผชิญกับลมที่พัดแรง เพราะลมอาจพัดพาฝุ่น หรือ ละอองเกสรดอกไม้ มากระตุ้นให้เกิดอาการแพ้ได้ อาจใส่แว่นกันลมที่ปิดด้านหน้าและด้านข้าง เพื่อป้องกันดวงตาไม่ ให้โดนสิ่งกระตุ้นที่จะทำให้เกิดภูมิแพ้ได้ รวมทั้งการล้างมือ อาบน้ำ และเปลี่ยนเสื้อผ้า เมื่อกลับเข้าที่พักอาศัยแล้วเสมอ การหลีกเลี่ยงใช้พรมในบ้าน เนื่องจากพรมจะกักเก็บฝุ่นไว้ในปริมาณมาก และเลี่ยงการสัมผัสสัตว์เลี้ยงที่มีขน เช่น แมว สุนัข เป็นต้น

การดูแลตัวเองเมื่อเกิดอาการเคืองตาและสงสัยว่าเกิดจากภูมิแพ้

ควรจะหลีกเลี่ยงจากสิ่งก่อภูมิแพ้ทันทีบางครั้งอาจจะต้องใช้น้ำสะอาดล้างตาอาจจะใช้น้ำตาเทียมซึ่งจะช่วยชะล้างสารก่อภูมิแพ้ใช้ผ้าเย็นปิดตา หลีกเลี่ยงการขยี้ตา เพราะจะทำให้เกิดการอักเสบที่รุนแรงมากขึ้น และยิ่งทำให้เกิดอาการคันมากขึ้น เพื่อลดอาการบวมอาจจะซื้อยาแก้แพ้รับประทาน หากดูแลตัวเองแล้วยังไม่ดีขึ้นควรไปพบแพทย์ทันทีเมื่อเกิดอาการต่อไปนี้

  • ดวงตาแดงก่ำมากขึ้น
  • เจ็บปวดรุนแรงบริเวณดวงตา
  • มีตุ่ม หรือแผลพุพองบริเวณดวงตา เปลือกตา หรือจมูก
  • รู้สึกเจ็บปวดบริเวณดวงตาเมื่อถูกแสงแดดและแสงไฟ
  • ความสามารถในการมองเห็นลดลง

ในด้านการรักษาโรคเยื่อบุตาอักเสบจากภูมิแพ้ (Allergic Conjunctivitis) นั้นจักษุแพทย์จะเลือกใช้ยาให้เหมาะสมกับอาการและความรุนแรงของโรค ซึ่งมีทั้งยาหยอดตา เช่น ประเภทแอนตี้ฮิสตามีน ประเภทป้องกันปฏิกิริยาภูมิแพ้ และยารับประทาน นอกจากการใช้ยาจะช่วยเสริมการรักษาด้วยยาได้ ได้แก่ การหยอดน้ำตาเทียมเย็นๆ ซึ่งจะช่วยเจือจางสารก่อการแพ้ และการประคบเย็นก็จะช่วยลดการบวมได้

Categories
บทความ

ภาวะลำไส้รั่ว จุดเริ่มต้นของปัญหาสุขภาพที่คาดไม่ถึง

ภาวะลำไส้รั่ว จุดเริ่มต้นของปัญหาสุขภาพที่คาดไม่ถึง

ปัญหาสุขภาพที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน ทั้งน้ำหนักขึ้นง่าย สิวไม่หาย ลำไส้แปรปรวน มีอาการอักเสบของผิวหนัง และอาการอื่นๆ ที่หลายคนกำลังเผชิญอยู่นั้น อาจมีสาเหตุมาจากภาวะลำไส้รั่ว (Leaky Gut Syndrome) ซึ่งเป็นภาวการณ์ดูดซึมของลำไส้ผิดปกติ โดยหนึ่งในสาเหตุอาจมาจากพฤติกรรมการรับประทานอาหารเดิม ๆ ซ้ำ ๆ จนส่งผลต่อความสมดุลภายในร่างกาย รวมถึงระบบภูมิคุ้มกัน ระบบเผาผลาญ และเป็นสาเหตุก่อโรคเรื้อรังอันตรายตามมาได้ เพื่อให้รู้เท่าทัน เราไปทำความรู้จักกับโรคนี้กันกับแพทย์เวชศาสตร์ชะลอวัยกันดีกว่า

ภาวะลำไส้รั่วเป็นอย่างไร

ภาวะลำไส้รั่ว (Leaky Gut Syndrome) เป็นภาวะการดูดซึมของลำไส้ผิดปกติ โดยทั่วไปแล้วเซลล์เยื่อบุผนังลำไส้ หรือ เซลล์ดูดซึมสารอาหารของลำไส้เล็กจะเรียงชิดติดกัน เพื่อป้องกัน คัดกรอง และควบคุมสารพิษ รวมทั้งเชื้อโรคที่จะเข้าสู่กระแสเลือด หากเซลล์เยื่อบุผนังลำไส้อักเสบ หรือมีการบวมของเซลล์เยื่อบุผิวลำไส้จึงไม่เรียงชิดติดกัน ทำให้เกิดช่องว่างที่บริเวณนี้ขึ้นมา ซึ่งตรงช่องว่างนี้เองทำให้สิ่งแปลกปลอม เชื้อแบคทีเรีย สารอาหารที่เป็นโมเลกุลขนาดใหญ่ สารพิษต่างๆ รั่วซึมเข้าสู่ร่างกาย สู่กระแสเลือด เข้าไปรบกวนระบบภูมิต้านทาน ทำให้เกิดกระบวนการการอักเสบต่างๆ ภายในร่างกายตามมา

ลำไส้รั่วตัวการเกิดโรคอะไรบ้าง

ลำไส้รั่วส่งผลให้เกิดภาวะการอับเสบในร่างกายแบบเรื้อรัง เพิ่มความเสี่ยงในการเกิดโรคเบาหวาน เพิ่มความเสี่ยงให้เกิดโรคเส้นเลือดหัวใจตีบ เส้นเลือดในสมองตีบ ความดันโลหิตสูง อันเนื่องมาจากกระบวนการอักเสบที่เพิ่มขึ้น แม้กระทั่งการไปรบกวนหรือกระตุ้นการตอบสนองของเม็ดเลือดขาว ทำให้เม็ดเลือดขาวสับสนเกิดภาวะภูมิแพ้ง่ายขึ้น ยังมีผลต่อการอักเสบในเซลล์สมอง มีผลต่อการนอนหลับ อารมณ์ ความจำระยะสั้น เป็นต้น

ลำไส้รั่วเกิดจากสาเหตุอะไร

สาเหตุลำไส้รั่ว (Leaky Gut Syndrome) มาจากภาวะอะไรก็ตามที่ทำให้เกิดการทำลายเซลล์บุผนังลำไส้ โดยสาเหตุที่พบบ่อย ได้แก่

  1. ยาแก้ปวดหรือแก้อักเสบต่างๆ ยากลุ่มนี้จะมีผลต่อความแข็งแรงของเยื่อบุในผนังทางเดินอาหาร และเป็นเหตุผลที่ทำให้เกิดภาวะลำไส้รั่วได้หากใช้ยากลุ่มนี้ติดต่อกันนาน
  2. ยาปฏิชีวนะหรือยาฆ่าเชื้อ โดยในลำไส้จะแข็งแรงได้นอกจากผนังของลำไส้แล้ว ยังมีเรื่องสายพันธุ์ของแบคทีเรียหรือสมดุลของแบคทีเรียในร่างกายอยู่ด้วย เมื่อเรากินยายาปฏิชีวนะหรือยาฆ่าเชื้อไปบ่อยๆ หรือกินมากๆ แล้วไม่ได้เติมเต็มแบคทีเรียตัวดีเข้าไปทดแทน จะก่อให้เกิดการเจริญเติบโตของจุลินทรีย์ตัวร้าย หรือจุลินทรีย์ชนิดอื่น เช่น เชื้อรา หรือ แบคทีเรียตัวอื่นที่ร่างกายไม่ต้องการเพิ่มขึ้นจนทำให้เกิดกระบวนการอักเสบของเยื่อบุลำไส้ได้
  3. ความเครียด ความวิตกกังวล การนอนหลับไม่เพียงพอ
  4. ภาวะภูมิแพ้อาหารแฝง

ลำไส้รั่วอาการเป็นอย่างไร

 

  • ปวดศีรษะหรือปวดตามข้อต่าง ๆ ไม่ทราบสาเหตุ
  • น้ำหนักขึ้นง่าย ขึ้นผิดปกติ
  • มีแก๊สในระบบทางเดินอาหารมากผิดปกติ
  • มีภาวะภูมิแพ้อาหารแฝง ภาวะการไม่สามารถย่อยอาหารบางชนิดได้ เช่น อาหารประเภทคาร์โบไฮเดรต
  • มีปัญหาระบบทางเดินอาหาร เช่น ปวดท้องบ่อยๆ ท้องเสียเรื้อรัง หรือท้องผูก 1 ครั้งต่อสัปดาห์ขึ้นไป ท้องอืดอาหารไม่ย่อยเป็นประจำ
  • นอนไม่ค่อยหลับ อ่อนเพลีย
  • มีผื่นคัน มีสิวขึ้นเรื้อรัง

ภาวะลำไส้รั่ว ตรวจวินิจฉัยอย่างไร

แพทย์จะพิจารณาจากอาการที่เกิดขึ้น ได้แก่

  1. หากมีปัญหาระบบทางเดินอาหารมาก่อน เช่น โรคกระเพาะ ท้องอืด ท้องเฟ้อ อาหารไม่ย่อย ท้องเสียง่าย ท้องผูกง่าย เป็นกลุ่มที่จะมีความเสี่ยงเกิดลำไส้รั่วง่ายมากขึ้น
  2. มีอาการอันไม่พึงประสงค์หลังรับประทานอาหาร เช่น การกินนม แป้งสาลี ภายใน 1-2 วันมีสิวขึ้น มีผื่นคัน มีอาการปวดตามข้อมากขึ้น หรือตกกลางคืนนอนไม่หลับ กระสับกระส่าย หรือไม่

 

ซึ่งหากมีอาการดังกล่าวก็สงสัยว่าอาจเป็นภาวะลำไส้รั่วได้ ก็จำเป็นต้องมีการตรวจทางห้องปฏิบัติการ เช่น

  • การตรวจอุจจาระประเมินความผิดปกติของระบบทางเดินอาหาร หรือ Comprehensive Digestive Stool Analysis (CDSA) ซึ่งเป็นการวิเคราะห์คุณภาพการย่อยจากอุจจาระของเราว่าอาหารมีการย่อยสมบูรณ์ไหม สายพันธุ์ของเแบคทีเรียอยู่สมดุลดีไหม มีการเจริญเติมโดของแบคทีเรียร้าย ยีสต์ เชื้อรา หรือมีพยาธิหรือเปล่า
  • การตรวจ Zonulin Test เป็นการตรวจดูระดับของโปรตีน Zonulin ที่ทำหน้าที่ควบคุมขนาดของช่องระหว่างเซลล์ที่บุผิวภายในลำไส้ดังกล่าวว่าสูงหรือไม่ เช่น เมื่อมีการแพ้สารอาหาร หรือเกิดภูมิแพ้ขึ้นมา จะทำให้ระดับของ Zonulin ในกระแสเลือดของสูงขึ้นซึ่งก็จะบอกได้ว่า ท่านเป็นลำไส้รั่วจริง

การรักษาภาวะลำไส้รั่ว

 

  1. ทำความสะอาดของเสียออกจากลำไส้ เช่น หลีกเลี่ยงอาหารที่แพ้ การทำ Colon Detox
  2. การซ่อมแซมเยื่อบุลำไส้ที่ไม่แข็งแรง โดยเสริมกรดอะมิโน L-Glutamine รวมไปถึงวิตามินอี สังกะสี (Zinc) ซีลีเนียม (Selenium) และโอเมก้า–3 (Omega–3) ที่มีส่วนช่วยในการซ่อมแซมเยื่อบุผนังลำไส้ที่ได้รับบาดเจ็บและลดการอักเสบของลำไส้ได้
  3. การปรับสมดุลร่างกาย โดยปรับเรื่องอาหาร เลี่ยงอาหารที่แพ้ ลดความเครียด
  4. การเติมเต็มแบคทีเรียดีเข้าไป ได้แก่ จุลินทรีย์ดี Probiotic ซึ่งพบในโยเกิร์ต คีเฟอร์ ถั่วหมัก กิมจิ และอาหาร Probiotic เช่น กล้วย น้ำผึ้ง หน่อไม้ฝรั่ง กระเทียม แก่นตะวัน หอมหัวใหญ่ และมะเขือเทศ เป็นต้น

หากเราไม่ดูแลเอาใจใส่ลำไส้ให้ดี อาจส่งผลให้สุขภาพร่างกายไม่ดีตามไปด้วย ฉะนั้น การดูแลลำไส้ให้แข็งแรง โรคเรื้อรังต่างๆ ที่เผชิญอยู่ ก็จะสามารถควบคุมได้หรือค่อยๆ หายไปได้นั่นเอง

Categories
บทความ

ไมโคพลาสมา โรคติดเชื้อแบคทีเรียในเด็ก ทำปอดอักเสบติดเชื้อ

ไมโคพลาสมา โรคติดเชื้อแบคทีเรียในเด็ก ทำปอดอักเสบติดเชื้อ

โรคติดเชื้อ Mycoplasma pneumonia ก่อให้เกิดโรคทางระบบทางเดินหายใจทั้งส่วนบน และส่วนล่าง สามารถพบได้ทุกวัย เมื่อติดเชื้อจะก่อให้เกิดอาการคล้ายหวัด และจะมีอาการไอรุนแรง ทำให้เกิดหลอดลมอักเสบ ปอดอักเสบ หรือปอดบวม บางรายอาจเกิดภาวะแทรกซ้อนกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ สมองอักเสบ ข้ออักเสบ อาการทางผิวหนัง และเยื่อบุอักเสบได้

ทำความรู้จัก ไมโคพลาสมา

Mycoplasma pneumonia เป็นเชื้อแบคทีเรียชนิดหนึ่งที่อยู่ตามธรรมชาติ มีขนาดเล็กมาก พบได้ทั่วโลก แพร่ระบาดได้ตลอดทั้งปี มักทำให้เกิดโรคติดเชื้อทางเดินหายใจ ติดต่อโดยหายใจสูดเอาละอองฝอยที่มีเชื้อผ่านการไอ จาม เป็นโรคติดต่อจากคนสู่คน ระยะฟักของเชื้อประมาณ 2-3 สัปดาห์ อาการมักหายได้เองเป็นส่วนใหญ่ แต่ก็มีรายที่สามารถก่อโรครุนแรงต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล นอกจากนี้ยังทำให้เกิดอาการในระบบที่นอกเหนือจากระบบทางเดินหายใจ เช่น ระบบประสาท ระบบเลือด ผิวหนัง ไต ข้อ ระบบหัวใจและหลอดเลือด เป็นต้น

อาการโรคติดเชื้อไมโคพลาสมา

เมื่อได้รับเชื้อจะทำให้เกิดอาการทางระบบทางเดินหายใจทั้งส่วนบน และส่วนล่าง ได้แก่

  1. ไอมาก จาม มีน้ำมูก
  2. มีไข้สูง 38 องศา ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยตามร่างกาย
  3. เจ็บคอ คออักเสบ
  4. เจ็บหน้าอกเวลาหายใจ หายใจเร็ว หายใจมีหน้าอกบุ๋ม
  5. ปวดเมื่อยตามร่างกาย มีอาการอ่อนเพลีย
  6. ภาวะหลอดลมอักเสบ ปอดอักเสบติดเชื้อ
  7. บางรายอาจเกิดภาวะแทรกซ้อนรุนแรง เช่น ซีดรุนแรง ภาวะกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ ภาวะสมองอักเสบ ทำให้เกิดไข้สูง ชัก หรือหมดสติ ได้

การวินิจฉัยโรคติดเชื้อไมโคพลาสมา

แพทย์จะวินิจฉัยจากการซักประวัติอาการ ตรวจร่างกาย การตรวจทางห้องปฏิบัติการ ปัจจุบันนิยมตรวจทางภูมิคุ้มกันวินทยา โดยวิธี FIA หรือ IFA จากเลือด ซึ่งสะดวกและรวดเร็ว ส่วนการตรวจหาสารพันธุกรรมของเชื้อโดยวิธี PCR จะมีความไวสูงและจำเพราะสูง จากสิ่งส่งตรวจจากจมูกหรือคอยังมีข้อจำกัดในการตรวจใช้ในสถานพยาบาล รวมไปถึงการตรวจเอกซเรย์ปอด ตรวจเลือดเพื่อประเมินความรุนแรง

การรักษาโรคติดเชื้อไมโคพลาสมา

แพทย์จะรักษาด้วยการให้ยารับประทานตามอาการเพื่อประคับประคองอาการที่เกิดขึ้น รวมทั้งยาปฏิชีวนะที่สามารถครอบคลุมเชื้อ ได้แก่ ยากลุ่ม macrolides เช่น azithromycin, erythromycin, clarithromycin หรือกลุ่ม Doxycycline หรือ Levofloxacin ซึ่งผู้ป่วยส่วนใหญ่จะหายเป็นปกติ และรักษาภาวะแทรกซ้อนของโรค

โรคติดเชื้อไมโคพลาสมายังไม่มีวัคซีนป้องกัน การป้องกันที่ดีที่สุดคือ การหลีกเลี่ยงสถานที่แอดอัด คนจำนวนมาก สถานที่ที่มีการระบายอากาศไม่ดี หลีกเลี่ยงการใกล้ชิดผู้ป่วย ใส่หน้ากากอนามัย ควรล้างมือให้บ่อยๆ โดยเฉพาะก่อนการปรุงอาหาร หรือรับประทานอาหาร ทั้งนี้หากลูกน้อยมีอาการไม่สบาย หรือมีอาการดังกล่าวข้างต้น เช่น มีไข้เกิน 38 องศา ไอมาก หายใจเร็ว หายใจมีหน้าอกบุ๋ม ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อรับการตรวจวินิจฉัยและรักษาอย่างถูกต้อง

Categories
บทความ

ปวดหัวตำแหน่งใด บ่งบอกว่าคุณกำลังเป็นอะไรอยู่

ปวดหัวตำแหน่งใด บ่งบอกว่าคุณกำลังเป็นอะไรอยู่

เรื่องของอาการปวดหัว หรือ ปวดศีรษะ เชื่อว่าทุกคนจะต้องผ่านมาอย่างน้อย 1 ครั้ง และสร้างความหงุดหงิดใจอยู่ไม่น้อย ซึ่งหลายคนเมื่อมีอาการปวดหัวก็อาจมองข้ามอาการปวดหัวที่เกิดขึ้น เพียงเพราะคิดว่าอาจเกิดจากความเครียด พักผ่อนน้อย แต่อาการปวดที่เกิดขึ้นนั้นกำลังเตือนเราอยู่ก็เป็นได้ว่ามีความผิดปกติซ่อนอยู่ อาการปวดหัวเกิดได้จากหลายสาเหตุ ซึ่งการปวดในตำแหน่งต่างๆ จะบ่งบอกสาเหตุของโรคที่ต่างกันออกไป แล้วอาการปวดหัวตำแหน่งไหน บ่งบอกถึงโรคอะไรบ้างมาดูกัน

อาการปวดหัวสามารถแบ่งออกได้ 2 กลุ่ม ได้แก่

  • อาการปวดหัวในกลุ่มที่ไม่ได้มีรอยโรคในสมอง เช่น ไมเกรน กล้ามเนื้อรอบ ๆ ศีรษะตึงตัวหรือจากความเครียด กลุ่มนี้เป็นกลุ่มสาเหตุที่พบบ่อยที่สุดของอาการปวดหัว แม้ว่าจะรบกวนชีวิตประจำวัน แต่ไม่มีอันตรายร้ายแรง
  • อาการปวดหัวในกลุ่มที่มีรอยโรคในสมอง เช่น เนื้องอกในสมอง เส้นเลือดสมองโป่งพอง เลือดออกใต้เยื่อหุ้มสมอง ต้องรีบพบแพทย์ทันที ซึ่งอาการปวดหัวของกลุ่มนี้ถือว่าอันตราย หากไม่ได้รับการวินิจฉัยและการรักษาให้ทันเวลา

ปวดหัว บ่งบอกอะไร

  • ปวดทั่วศีรษะ ปวดหัวแบบตึ้บ ๆ คือ อาการปวดหัวจากกล้ามเนื้อตึงตัว จากความเครียด มีอาการลงที่ท้ายทอย อาจร้าวไปขมับสองข้าง มักปวดเหมือนอะไรมาบีบมารัด อาจมีอาการปวดร้าวมาสะบักไหล่ทั้ง 2 ข้าง อาการค่อยๆ เป็น อาการปวดอาจเป็นชั่วโมง วัน สัปดาห์ เดือน หรือปีก็ได้ ขึ้นอยู่กับความเครียดและการพักผ่อน
  • ปวดหัวข้างเดียวคืออาการปวดหัวไมเกรน มักปวดหัวตุบๆ ปวดข้างเดียวของศีรษะ(Unilateral) แต่บางครั้งปวด 2 ข้าง หรือทั้งศีรษะก็ได้ หรือมีอาการคลื่นไส้อาเจียน แพ้แสง เกิดจากความผิดปกติชั่วคราวของระดับสารเคมีในสมอง ทำให้หลอดเลือดในเยื่อหุ้มสมองมีการบีบและคลายตัวมากกว่าปกติ
  • ปวดหัวแบบคลัสเตอร์คือ อาการปวดหัวรุนแรงแบบข้างเดียว มักจะปวดบริเวณรอบๆ ตาหรือที่ขมับปวดร้าว ตาแดง มีน้ำตาไหลข้างเดียว กับที่ปวดศีรษะได้ โดยอาการปวดแต่ละครั้งจะมีระยะเวลาไม่นานประมาณ 5 นาที หรือนานสุดประมาณ 3 ชั่วโมง อาการปวดจะเกิดขึ้นบ่อยและเป็นช่วงเวลาที่แน่นอน
  • ปวดหัวจากไซนัสจะเหมือนอาการปวดหัวไมเกรน และอาการหวัดทั่วไปมากจนยากที่จะแยกออก แต่ไซนัสจะรู้สึกปวดหน่วงๆ บริเวณหน้าผาก โพรงจมูกลามไปถึงโหนกแก้ม
  • ปวดหัวจากการเส้นประสาทใบหน้าอักเสบสามารถปวดบริเวณหน้า ใบหู ลักาณะมักจะเป็นการปวดเสียวแปล๊บ เหมือนไฟช็อต อาการอาจถูกกระตุ้น เช่น มือสัมผัส ล้างหน้า เคี้ยวข้าว
  • ปวดหัวรุนแรงชนิดที่ไม่เคยเป็นมาก่อนอาจเกิดจากภาวะหลอดเลือดสมอง หรือเนื้องอกในสมอง ซึ่งจะมีอาการปวดอย่างรุนแรงและอาการอื่นๆ ร่วมด้วย เช่น การมองเห็นผิดปกติ เห็นภาพซ้อน มองเห็นไม่ชัด มีอาการชา กล้ามเนื้อแขน ขา อ่อนแรง ทรงตัวลำบากหรือบางคนอาจมีอาการชัก ซึ่งถือเป็นอาการรุนแรง จำเป็นต้องพบแพทย์โดยด่วน

อย่างไรก็ตามแม้ส่วนใหญ่อาการปวดหัว ปวดศีรษะจะไม่เป็นอันตราย แต่การรักษาอย่างถูกต้องเป็นสิ่งสำคัญ และหมั่นสังเกตความผิดปกติหรือสัญญาณอันตรายที่เกิดขึ้น จะช่วยให้เราได้รับการวินิจฉัยและรักษาได้ทันท่วงที

Categories
บทความ

หลอดลมอักเสบ พบได้ทุกช่วงอายุ

หลอดลมอักเสบ พบได้ทุกช่วงอายุ

ด้วยปัจจุบันปัญหามลภาวะเป็นพิษ PM 2.5 ควันรถ ควันบุหรี่ ล้วนเป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้เกิดภาวะหลอดลมอักเสบ (Bronchitis) ที่ตามด้วยอาการไอนาน ไอแห้ง หายใจลำบาก หอบเหนื่อยได้ ภาวะหลอดลมอักเสบ มักพบได้บ่อยในช่วงฤดูฝน และฤดูหนาว สามารถพบผู้ติดเชื้อได้ทุกช่วงวัย หากได้รับการรักษาไม่ถูกต้อง สามารถเกิดภาวะแทรกซ้อน การติดเชื้อจากหลอดลมอาจลามไปที่ปอด ทำให้เกิดปอดอักเสบ (Pneumonia) และโรคถุงลมโป่งพองได้


หลอดลมอักเสบเป็นอย่างไร

หลอดลมอักเสบ (Bronchitis) การอักเสบของเยื่อบุหลอดลมซึ่งเป็นท่อที่นำลมหรืออากาศหายใจเข้าสู่ปอด เมื่อเยื่อบุหลอดลมอักเสบจะบวม มีเสมหะ ท่อหลอดลมจะแคบลง ส่งผลให้อากาศไหลผ่านหลอดลมเข้าปอดได้ไม่ดี ทำให้ไอ หายใจไม่อิ่ม เหนื่อยง่าย แน่นหน้าอก หายใจมีเสียงวี้ด อาจเจ็บคอ แสบคอ หรือ เจ็บหน้าอกได้ โดยภาพรังสีทรวงอกปกติ แบ่งเป็น

  • หลอดลมอักเสบฉับพลัน (Acute bronchitis) ส่วนใหญ่อาการหายได้ใน 7-10 วัน มักไม่เกิน 3 สัปดาห์
  • หลอดลมอักเสบชนิดเรื้อรัง (Chronic bronchitis) มักเกิดจากภูมิแพ้ หอบหืด ปัจจุบันสภาวะมลภาวะอากาศที่เปลี่ยนไป ฝุ่น หรือ PM 2.5 ควัน หรือ สารเคมีกลิ่นฉุน หรือภาวะหลังหายจากการติดเชื้อทางเดินหายใจ จะพบผู้ป่วยกลุ่มนี้มากขึ้น สำหรับผู้ที่สูบบุหรี่หรือเคยสูบอาจมีภาวะปอดอุดกั้นเรื้อรัง ผู้ป่วยมักไอมาก ไอนาน ไอเสมหะมาก เสมหะเหนียวติดคอ ไอออกลำบาก หลอดลมอักเสบชนิดเรื้อรัง ถ้าไม่ได้รับการรักษา ทำให้ผู้ป่วยเสี่ยงต่อการติดเชื้อแบคทีเรียได้ง่ายขึ้น เสมหะเปลี่ยนเป็นสีเหลือง หรือเขียว หรือหายใจหอบเหนื่อย มีข้อจำกัดในการใช้ชีวิตประจำวัน และการรักษาจะยากมากขึ้น

ทั้งนี้ ภาวะหลอดลมอักเสบ พบว่า 50% ไอนานกว่า 2 สัปดาห์ และ 25% ไอนานกว่า 4 สัปดาห์ ผู้ที่มีหลอดลมอักเสบ ร่วมกับอาการสงสัยว่าหลอดลมตีบ เช่น อาการหายใจไม่อิ่ม แน่นหน้าอก หายใจมีเสียงวี้ด เหนื่อยง่าย พบว่าสัมพันธ์กับการเป็น หอบหืด หรือ ถุงลมโป่งพอง มากขึ้น ควรได้รับการรักษา ติดตาม และตรวจประเมินเพิ่มเติม เช่น ตรวจสมรรภภาพปอด


สาเหตุของโรคหลอดลมอักเสบ

  • จากการติดเชื้อทางเดินหายใจส่วนบน ส่วนมากเกิดจากเชื้อไวรัสกลุ่มเดียวกับที่ก่อให้เกิดไข้หวัดและไข้หวัดใหญ่ พบมากถึง 90% ที่ทำให้เกิดหลอดลมอักเสบ
  • จากการติดเชื้อแบคทีเรีย เช่น Bordateria pertussis, Mycoplasma pneumoniae, Chlamydia pneumoniae, Streptococcus pneumoniae, Haemophilus influenzae
  • จากการถูกสิ่งระคายเคือง ที่พบบ่อยคือ การสูบบุหรี่ ควันไอเสียรถยนต์ ฝุ่นละออง และสารเคมี
  • การระคายเคืองจากน้ำย่อยในผู้ที่เป็นโรคกรดไหลย้อน

อาการแบบไหนต้องพบแพทย์

  • มีอาการไอนานกว่า 8 สัปดาห์ในผู้ใหญ่
  • ไอมีเสมหะมาก เสมหะจุกคอ เสมหะอยู่ลึกๆ ไอไม่ออก
  • ไอมากตอนกลางคืน หรือเช้ามืด ไอช่วงเวลาอากาศเย็น หรือ เวลาฝนตก
  • ไอเสมหะเลือดปน
  • ไอ ร่วมกับ เหนื่อยง่ายขึ้นเวลาทำกิจกรรมที่ต้องใช้แรง
  • ไอ ร่วมกับ หายใจไม่อิ่ม หายใจเข้าออกไม่สุด หายใจได้ยินเสียงวี้ด รู้สึกขาดอากาศหายใจ
  • ไอ ร่วมกับเจ็บหน้าอกแปล๊บๆ เป็นๆหายๆ
  • ไอ ร่วมกับ มีไข้เป็นๆหายๆ น้ำหนักลด กินได้น้อยเบื่ออาหาร

การวินิจฉัยโรคหลอดลมอักเสบทำอย่างไร

แพทย์เป็นผู้วินิจฉัยหาสาเหตุของอาการไอเรื้อรังที่เกิดขึ้น ได้แก่

  1. ตรวจร่างกาย ร่วมกับการซักประวัติ เช่นมีอาการสัมพันธ์กับสารก่อภูมิแพ้ หรือเหตุกระตุ้นให้เกิดอาการไอ (เช่น ฝุ่น ควัน อากาศเย็น กลิ่นฉุน) อาการทางจมูกหรือโรคไซนัส ประวัติโรคภูมิแพ้ของผู้ป่วยและคนในครอบครัว การสูบบุหรี่ เป็นต้น
  2. การตรวจระบบทางเดินหายใจส่วนบนและล่าง และอาจส่งตรวจเพิ่มเติม เช่น ส่งตรวจภาพถ่ายรังสีของโพรงไซนัสและปอด การส่องกล้องตรวจระบบทางเดินหายใจ การตรวจเสมหะ การตรวจสมรรถภาพการทำงานของปอด เป็นต้น

การรักษาโรคหลอดลมอักเสบ

  • โรคหลอดลมอักเสบชนิดเฉียบพลัน ปกติมักจะหายได้เอง ภายใน 7-10 เนื่องจากส่วนใหญ่เกิดจากการติดเชื้อไวรัส จึงใช้วิธีการรักษาตามอาการ เช่น การใช้ยาละลายเสมหะ ยาแก้ไอ ยาขยายหลอดลม จนอาการหายดีเอง ส่วนการติดเชื้อแบคทีเรียอาจพิจารณาการใช้ยาฆ่าเชื้อ
  • โรคหลอดลมอักเสบชนิดเรื้อรัง ควรหาสาเหตุ และรักษาตามสาเหตุ อาจให้ยาลดการอักเสบของหลอดลม, ยาขยายหลอดลม

การป้องกันโรคหลอดลมอักเสบ

การปฏิบัติตัวอย่างถูกต้องจะช่วยป้องกันจากโรคหลอดลมอักเสบได้ อาทิ

  • พักผ่อนให้เพียงพอ
  • ดื่มน้ำอุ่นบ่อยๆ เพราะน้ำเป็นยาละลายเสมหะที่ดีที่สุด
  • หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่
  • หลีกเลี่ยงการสูดควัน กลิ่นฉุน ควันบุหรี่ สารเคมี ฝุ่น สารระคายเคืองต่างๆ ซึ่งจะทำให้การอักเสบในหลอดลมเป็นมากขึ้น
  • ควรพยายามหลีกเลี่ยงอากาศเย็น และแห้ง เนื่องจากอากาศที่เย็นสามารถทำให้ร่างกายอ่อนแอ
  • ควรให้ความอบอุ่นแก่ร่างกายขณะนอนให้เพียงพอ
  • ฉีดวัคซีนป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่อย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง

โรคหลอดลมอักเสบ หากให้การรักษาไม่ถูกต้อง การติดเชื้อจากหลอดลมอาจลามไปที่ปอด ทำให้เกิดปอดอักเสบได้ หรือจากหลอดลมอักเสบเฉียบพลัน อาจกลายเป็นหลอดลมอักเสบเรื้อรัง ดังนั้นหากมีความผิดปกติเกิดขึ้นกับระบบทางเดินหายใจ เช่น ไอแห้งหรือไอมีเสมหะ รับประทานยาแก้ไขแล้วไม่ดีขึ้น ให้เข้ามาพบแพทย์เพื่อรับการการตรวจและรักษาที่ตรงจุดต่อไป
Categories
บทความ

สาเหตุโรคไต ไม่ใช่แค่ “กินเค็ม”

สาเหตุโรคไต ไม่ใช่แค่ "กินเค็ม"

โรคไต คือ ภาวะที่ไตทำงานผิดปกติ สามารถเกิดขึ้นได้ทุกเพศ ทุกวัย โดยเฉพาะผู้สูงอายุ แม้ว่าหนึ่งในสาเหตุของการเกิดโรคไตนั้นมาจากการกินเค็ม แต่การไม่กินเค็ม ไม่เติมเกลือ หรือน้ำปลาในอาหาร ก็ไม่ได้หมายความว่าคุณจะไม่เสี่ยงเป็นโรคไต เนื่องจากโรคไตนั้นไม่ได้เกิดจากพฤติกรรมการกินอาหารที่มีรสเค็มเพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่ยังมีสาเหตุอื่นๆ ทั้งจากการใช้ชีวิตประจำวัน พันธุกรรม และโรคเรื้อรัง ก็ทำให้มีโอกาสป่วยเป็นโรคไตได้เช่นกัน


สาเหตุของโรคไต ไม่ใช่แค่ “กินเค็ม”

สาเหตุของการเป็นโรคไตไม่ใช่แค่กินเค็มเท่านั้น แต่ยังมีปัจจัยอื่นๆ ที่มีส่วนสำคัญในการกระตุ้นให้ร่างกายคนเรามีโอกาสเสี่ยงที่จะเกิดโรคไต ได้เหมือนกัน โดยปัจจัยที่พบบ่อยได้แก่

  • การมีโรคที่มีผลกระทบกับไต เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคอ้วนหรือมีภาวะน้ำหนักเกิน โรคเก๊าท์หรือระดับกรดยูริกในเลือดสูง โรคแพ้ภูมิตนเอง การสูบบุหรี่เรื้อรัง ซึ่งจะส่งผลให้หลอดเลือดที่ไปเลี้ยงไตเสื่อมลง ส่งผลให้การทำงานของไตเสื่อมลง
  • การมีภาวะไตผิดปกติ ไม่สมบูรณ์ตั้งแต่กำเนิด เช่น ไตฝ่อ มีมวลเนื้อไตลดลง หรือมีไตข้างเดียว เป็นต้น
  • การมีภาวะหลอดเลือดฝอยในไตอักเสบ
  • การเป็นโรคติดเชื้อทางเดินระบบปัสสาวะส่วนบนช้ำหลายครั้ง
  • การตรวจพบนิ่วในไตหรือระบบทางเดินปัสสาวะ หรือตรวจพบถุงน้ำในไตมากกว่า 3 ตำแหน่งขึ้นไป
  • การมีประวัติครอบครัวเป็นโรคไตเรื้อรัง หรือ มีประวัติการเป็นโรคไตอักเสบ หรือถุงน้ำในไต
  • การได้รับยาในกลุ่มยาแก้ปวดกลุ่ม NSAIDs หรือสารพิษที่ทำลายไต (Nephrotoxic agents)
  • ดื่มน้ำน้อยเกินไป เกิดภาวะขาดน้ำของไตจนทำงานบกพร่อง หรือเกิดการสะสมของสารเคมีในทางเดินปัสสาวะ จนตกตะกอนกลายเป็นโรคนิ่วในไตหรือทางเดินปัสสาวะ
  • รับประทานอาหารที่มีโซเดียมสูงแต่ไม่เค็ม อาทิ ซอสมะเขือเทศ ซอสพริก น้ำจิ้มสุกี้ อาหารแปรรูปยอดนิยม เช่น แฮม เบคอน ขนมกรุบกรอบ ผลไม้กระป๋อง รวมถึงอาหารหมักดอง เช่น ผักกาดดอง หรือไข่เค็ม บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ผงฟู สารกันบูด หรือสารกันเชื้อราในขนมปัง เป็นต้น

เช็กสัญญาณเสี่ยงโรคไต ควรพบแพทย์

  • อาการบวม หน้าบวม ขาบวม
  • ปัสสาวะผิดปกติ เช่น ปัสสาวะมีฟอง ปัสสาวะเป็นเลือด ปัสสาวะกลางคืนบ่อยกว่าปกติ
  • ปวดเอว ปวดหลังมากผิดปกติ
  • ความดันโลหิตสูงมากผิดปกติ
  • คลื่นไส้อาเจียนมาก
อย่างไรก็ตาม “ไต” เป็นอวัยวะที่ต้องทำงานตลอดเวลา ถ้าไตทำงานผิดปกติไปจะทำให้ร่างกายทำงานผิดปกติตามไปด้วย ฉะนั้นการดูแลไตและลดความเสี่ยงที่จะทำให้เกิดโรคไต พร้อมหมั่นตรวจสุขภาพไตว่ายังทำงานปกติอยู่หรือไม่จึงเป็นสิ่งสำคัญ เพราะโรคไตถือว่าเป็นภัยเงียบ เนื่องจากในระยะแรกอาจไม่แสดงอาการชัดเจน แต่จะเริ่มมีอาการเมื่อตอนที่ไตเสียหายไปพอสมควรแล้ว จนเข้าสู่โรคไตเรื้องรังระยะสุดท้าย ต้องรักษาด้วยการฟอกไตตลอดชีวิตได้
Categories
บทความ

ร่างกายรับ PM 2.5 เรื้อรังอันตราย เสี่ยงก่อโรคมะเร็งปอด

ร่างกายรับ PM 2.5 เรื้อรังอันตราย เสี่ยงก่อโรคมะเร็งปอด

มะเร็งปอดเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับที่ 2 ของคนไทย (เป็นอันดับที่ 2 ในผู้ชายรองจากมะเร็งตับ และเป็นอันดับ 1 ในผู้หญิง) เป็นที่ทราบดีว่าสาเหตุสำคัญเกิดจาการสูบบุหรี่ หรือการอยู่ใกล้ชิดกับคนที่สูบบุหรี่ ปัจจุบันพบมะเร็งปอดในกลุ่มที่ไม่สูบบุหรี่เพิ่มมากขึ้น เช่น กลุ่มที่ทำงานสัมผัสสารเคมี เช่น แร่ใยหิน โครเมียม นิกเกิล เป็นต้นและ ที่เป็นปัญหาที่สำคัญขณะนี้ คือ มลภาวะอากาศ โดยเฉพาะ PM 2.5 สามารถเพิ่มการเกิดมะเร็งปอดได้ 1-1.4 เท่า


PM 2.5 ก่อให้เกิดมะเร็งปอดได้จริงหรือ

PM 2.5 (Particulate Matter) เป็นอนุภาคขนาดเล็กกว่า 2.5 ไมครอน (เล็กกว่าเส้นผมมนุษย์ 20 กว่าเท่า) เกิดจากการเผาไหม้เครื่องรถยนต์ การเผาในที่โล่ง และควันจากโรงงานอุตสาหกรรม เป็นต้น โดยอนุภาคที่เล็กมากนี้สามารถเข้าสู่ปอด และเข้าสู่กระแสเลือดได้ ก่อให้เกิดผลต่อสุขภาพ ในระยะสั้น เช่น แสบตา แสบจมูก ระคายเคืองตา ทำให้ผู้ที่เป็นภูมิแพ้ หอบหืด และถุงลมโป่งพองกำเริบได้ ถ้าได้รับ PM 2.5 ปริมาณมากและยาวนาน จะเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหอบหืด ภูมิแพ้ ถุงลมโป่งพอง มะเร็งปอด โรคหัวใจ โรคหลอดเลือดสมอง และโรคไต

นอกจากนี้ PM 2.5 ยังมีองค์ประกอบสารเคมีบางชนิด ที่ก่อให้เกิดมะเร็งได้ เช่น โพลีไซคลิกอะโรมาติก ไฮโครคาร์บอน เกิดจาการเผาไหม้ของสารอินทรีย์ไม่สมบูรณ์

ทั้งนี้ได้มีการศึกษาพบว่า PM 2.5 ปริมาณ 22 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร เทียบเท่าการสูบบุหรี่ 1 มวน แม้ความเสี่ยงของ PM 2.5 ต่อมะเร็งปอดจะไม่มากเท่าการสูบบุหรี่ แต่ถ้าต้องได้รับ PM 2.5 ในปริมาณมาก เป็นเวลานานก็เพิ่มความเสี่ยงมะเร็งปอดได้


สามารถป้องกันเพื่อลดความเสี่ยงมะเร็งปอดจาก PM 2.5 ได้อย่างไร

จากคำแนะนำของราชวิทยาลัยอายุรแพทย์ ร่วมกับ 5 สมาคมวิชาชีพเวชกรรม ออกคำแนะนำการปฏิบัติตัวของประชาชนในช่วงวิฤตฝุ่น PM 2.5 ประกาศ ณ วันที่ 10 มีนาคม 2566 โดยประชาชนกลุ่มเสี่ยงคือ เด็ก หญิงตั้งครรภ์ ผู้สูงอายุ และผู้ที่มีโรคเรื้อรัง (โรคปอด หัวใจ สมอง ไต) ดังนี้

    1. หมั่นตรวจสอบคุณภาพอากาศจากแหล่งข้อมูลของรัฐและเอกชน หรือใช้เครื่องวัดปริมาณฝุ่นแบบพกพา เพื่อวางแผนกิจวัตรประจำวันให้เหมาะสม
    2. เมื่อค่า PM2.5 ในขณะนั้น (ค่ารายชั่วโมง) ขึ้นสูงเกินเกณฑ์ คือ
      • กรณีสูงกว่า 50 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร กลุ่มเสี่ยงงดทำกิจกรรมกลางแจ้ง บุคคลทั่วไปลดและปรับเวลาทำกิจกรรมกลางแจ้ง โดยใส่หน้ากากอนามัยตลอดเวลา
      • กรณีสูงกว่า 100 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ทุกคนต้องงดทำกิจกรรมกลางแจ้ง ยกเว้นบุคคลที่ต้องทำหน้าที่บริการสาธารณะ ให้ใส่หน้ากาก N95 ตลอดเวลา
      • กรณีสูงกว่า 150 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ทุกคนควรอยู่ในตัวอาคารซึ่งติดตั้งระบบระบายและฟอกอากาศที่มีประสิทธิภาพเพียงพอ ยกเว้นบุคคลที่ต้องทำหน้าที่บริการสาธารณะ ให้ใส่หน้ากาก N95 ตลอดเวลา และจำกัดช่วงเวลาปฏิบัติงานไม่ให้เกินครั้งละ 60 นาที
    3. ขณะที่ปริมาณฝุ่นภายนอกขึ้นสูง ภายในตัวอาคารควรจัดให้มีระบบระบายและฟอกอากาศที่มีประสิทธิภาพเพียงพอ
    4. การออกกำลังกายสม่ำเสมอจะช่วยให้ร่างกายเกิดพิษภัยได้น้อยลง และควรหลีกเลี่ยงหรือลดเวลาการออกกำลังกายกลางแจ้งตามระดับเตือนภัยในข้อ 2. ทั้งนี้การออกกำลังกายในร่มควรจัดให้มีระบบระบายและฟอกอากาศที่มีประสิทธิภาพเพียงพอ
    5. การดื่มน้ำสะอาดให้เพียงพอ จะช่วยเร่งการขับฝุ่น PM2.5 ที่เล็ดรอดเข้ากระแสเลือด ออกไปทางไตในรูปของปัสสาวะได้มากขึ้น
    6. การรับประทานผักและผลไม้ให้เพียงพอ จะช่วยเสริมการทำงานของระบบแอนติออกซิแดนท์ ซึ่งช่วยลดการทำลายเซลล์และเนื้อเยื่อจากพิษของฝุ่นได้
อย่างไรก็ตามปัจจุบันวิกฤติฝุ่น PM 2.5 เกิดขึ้นทุกปี โดยเฉพาะ ปลายฤดูหนาวก่อนเข้าฤดูร้อน (ต้นเดือนกุมภาพันธ์) และดูเหมือนจะทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อย ๆ การดูแลตัวเอง หลีกเลี่ยงมลพิษ ฝุ่นควัน และหมั่นตรวจร่างกายเป็นประจำตรวจภาพรังสีทรวงอก ( X-ray) ประจำปี สำหรับกลุ่มเสี่ยงมะเร็งปอด ที่แนะนำตรวจ Low dose CT scan คือ ผู้มีอายุ 55 ปี ขึ้นไป และ สูบบุหรี่ประมาณ 20 มวนต่อวัน ติดต่อกันนาน 30 ปี หรือ 40 มวนต่อวัน ติดต่อกันนาน 15 ปี รวมถึงผู้ที่เลิกบุหรี่มาน้อยกว่า 15 ปี
Categories
บทความ

โรคอุจจาระร่วงเฉียบพลัน

อุจจาระร่วงเฉียบพลัน

โรคอุจจาระร่วงเฉียบพลัน เป็นโรคที่พบบ่อยโดยเฉพาะในพื้นที่
ที่มีสุขอนามัยไม่ดี ผู้ป่วยที่เป็นโรคนี้จะถ่ายอุจจาระเหลวหรือถ่ายอุจจาระเป็นน้ำ
ตั้งแต่ 3 ครั้งขึ้นไปในหนึ่งวัน ผู้ป่วยส่วนใหญ่มีอาการไม่รุนแรงและมักหาย
ได้เอง ส่วนน้อยมีอาการรุนแรงและจำเป็นต้องได้รับการรักษาพยาบาล
สาเหตุ
ส่วนใหญ่เกิดจากการติดเชื้อ ซึ่งอาจเป็นแบคทีเรียไวรัส โปรโตชัว
หรือพยาธิ โดยผู้ป่วยได้รับเชื้อจากการกินอาหาร หรือดื่มน้ำที่ปนเปื้อนเชื้อ
เข้าไปอาการของอุจจาระร่วงเฉียบพลันมักจะเกิดหลังจากได้รับเชื้อตั้งแต่
12 ชั่วโมงถึง 4 วัน โรคอุจจาระร่วงเฉียบพลันอาจเกิดจากสาเหตุอื่น เช่น
การแพ้อาหาร โรคลำไส้อักเสบเรื้อรังหรือเกิดจากผลข้างเคียงของยา เป็นต้น

อาการ
ผู้ป่วยที่มีอาการไม่รุนแรง อาจถ่ายอุจจาระเหลวหรือถ่ายเป็น
น้ำเพียงอย่างเดียว และจำนวนครั้งของการถ่ายไม่มากนัก ส่วนผู้ป่วยมี
อาการรุนแรง อาจถ่ายอุจจาระปริมาณมากหรือถ่ายเกิน 10 ครั้ง ต่อวัน
ทำให้มีการสูญเสียน้ำและเกลือแร่ปริมาณมากจนอาจทำให้ความดันโลหิตต่ำได้
อาการที่อื่นที่พบร่วมด้วย
ได้แก่ มีไข้ และปวดท้องผู้ป่วยที่มีอาการต่อไปนี้ควรไปพบ
แพทย์เพื่อรับการตรวจรักษาถ่ายอุจจาระเป็นน้ำปริมาณมากและมีอาการ
ของภาวะขาดน้ำ เช่น ปากแห้ง คอแห้ง มึนศรีษะ เมื่อลุกนั่งหรือยืน
ปัสสาวะออกน้อย ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ เป็นต้น อาเจียนบ่อยจนกินอาหาร
และน้ำไม่ได้ ถ่ายอุจจาระเป็นมูกเลือดถ่ายอุจจาระเป็นสีดำ หรือเป็นเลือดสด
มีไข้สูงตั้งแต่ 38.5 องศาเซลเซียนขึ้นไป ปวดท้องรุนแรง ถ่ายอุจจาระตั้ง
แต่ 6 ครั้งขึ้นไปในหนึ่งวัน อาการไม่ดีขึ้นภายใน 48 ชั่วโมง
การตรวจวินิจฉัย
ในรายที่มีอาการไม่รุนแรง ไม่จำเป็นต้องตรวจอุจจาระเพื่อ
หาสาเหตุของโรค เนื่องจากมักหายได้เองภายใน 48 ชั่วโมง ส่วนในรายที่
มีอาการรุนแรงแพทย์อาจส่งตรวจอุจจาระและเพาะเชื้อเพื่อหาสาเหตุและตรวจ
เลือดเพื่อดูความรุนแรงของโรค

การรักษา
ผู้ป่วยที่มีอาการไม่รุนแรง สามารถดื่มน้ำเกลือแร่ที่เตรียมจากผง
เกลือแร่ซึ่งผลิตสำหรับโรคอุจจาระร่วงโดยเฉพาะเพื่อชดเชยน้ำและเกลือแร่ที่สูญ-
เสียไป เครื่องดื่มเกลือแร่ที่ใช้ในนักกีฬาหรือหลังออกกำลังกายเพื่อชดเชยเหงื่อ
ที่เสียไปนั้น มีปริมาณเกลือแร่ไม่เพียงพอที่จะชดเชยการสูญเสียจากการถ่าย
อุจจาระในโรคอุจจาระร่วงเฉียบพลัน อาจให้ยาเพื่อรักษาอาการที่พบร่วมด้วย
เช่น ยาลดไข้ ยาแก้ปวดท้อง เป็นต้น แพทย์อาจพิจารณาให้ยาฆ่าเชื้อเฉพาะใน
รายที่มีอาการรุนแรงหรือภูมิต้านทานต่ำไม่ควรให้ยาหยุดถ่ายในผู้ป่วยที่มีใช้หรือ
ถ่ายอุจจาระเป็นมูกเลือด เนื่องจากยาหยุดถ่ายไม่ได้รักษาที่สาเหตุ

การป้องกัน
– กินอาหารและดื่มน้ำที่สุกสะอาด
– ล้างผักและผลไม้ให้สะอาดก่อนกิน
– ล้างมือให้สะอาดก่อนกินอาหารและหลังจากเข้าห้องน้ำ
– รักษาความสะอาดของอุปกรณ์และภาชนะที่ใช้
– หลีกเลี่ยงการกินอาหารที่ปรุงไว้แล้วนาน ๆ โดยไม่ได้เก็บอย่างถูกวิธี

Categories
บทความ

โรคหลอดลมอักเสบ

โรคหลอดลมอักเสบ

โรคหลอดลมอักเสบ ปล่อยไว้นาน รักษาไม่ถูกวิธี เสี่ยงเป็นปอดอักเสบได้

โรคหลอดลมอักเสบ (Bronchitis)
เป็นโรคทางระบบทางเดินหายใจที่เกิดจากการติดเชื้อที่หลอดลม เกิดจากการติดเชื้อไวรัสและเชื้อแบคทีเรีย ทำให้เยื่อบุหลอดลมเกิดการอักเสบบวม ทำให้เกิดอาการไอมาก มีเสมหะ หายใจลำบาก แน่นหน้าอก อาจมีอาการเจ็บคอ แสบคอ หรือเจ็บหน้าอกได้ ผู้ป่วยอาจมีไข้ รู้สึกครั่นเนื้อ ครั่นตัวได้ มักพบได้บ่อยในช่วงฤดูฝนและฤดูหนาว และพบผู้ติดเชื้อได้ทุกช่วงอายุ 

โรคหลอดลมอักเสบ แบ่งเป็น 2 ชนิด

•โรคหลอดลมอักเสบชนิดเฉียบพลัน (Acute bronchitis) 

ส่วนใหญ่พบได้มากกว่าร้อยละ 90 ของผู้ป่วยหลอดลมอักเสบเฉียบพลันเกิดจากเชื้อไวรัส เหมือนไข้หวัด มักเป็นตามหลังไข้หวัด ซึ่งไม่ได้รับการรักษา หรือปฏิบัติตนอย่างถูกต้อง ทำให้การติดเชื้อลามลงไปถึงหลอดลม ผู้ป่วยที่เป็นหวัด มีอาการไอ มีเสมหะ เป็นระยะเวลามากกว่า 1 สัปดาห์ อาจเป็นหลอดลมอักเสบเฉียบพลัน ซึ่งมีอาการไม่เกิน 3 สัปดาห์  ควรให้การรักษา หรือปฏิบัติตนให้ถูกต้องตั้งแต่เนิ่นๆ เพื่อไม่ให้เป็นโรคหลอดลมอักเสบชนิดเฉียบพลันได้

•โรคหลอดลมอักเสบชนิดเรื้อรัง (Chronic bronchitis) 

อาจเกิดจากโรคภูมิแพ้ โรคหืด รวมถึงการสูบบุหรี่เป็นระยะเวลานาน (มีอาการไอมีเสมหะมากกว่า 3 เดือน – 2 ปี) หรือสัมผัสกับมลภาวะ เช่นฝุ่น ควัน หรือสารเคมีที่ระเหยได้ โรคหลอดลมอักเสบชนิดเรื้อรัง ทำให้ผู้ป่วยเสี่ยงต่อการติดเชื้อแบคทีเรียได้ง่ายขึ้น อาจทำให้เสมหะเปลี่ยนเป็นสีเหลือง หรือเขียว

อาการ

เมื่อเชื้อเข้าสู่ทางเดินหายใจหรือบริเวณหลอดลม ทำให้อักเสบของเยื่อบุหลอดลมและบวมมากขึ้น ส่งผลให้หลอดลมตีบแคบ อากาศไหลเข้าสู่ปอดได้ไม่ดี หายใจลำบาก เกิดการอักเสบทำให้การขับเสมหะของเยื่อบุหลอดลมไม่ดี ส่งผลให้เกิดอาการไอมากขึ้น ไอแห้งหรือไอมีเสมหะ คล้ายกับโรคหวัด โดยปกติส่วนใหญ่โรคนี้มักหายได้เองภายใน 7-10 วัน แต่อาการไอแห้ง อาจเป็นได้นานหลายสัปดาห์หรือเป็นเดือน ในผู้ป่วยบางรายที่ผู้ป่วยสูงอายุมีอาการไอมากๆ ทำให้เจ็บกล้ามเนื้อ หน้าอก ชายโครง และอาจเกิดเส้นเลือดฝอยในปอดแตก ออกสู่โพรงเยื่อหุ้มปอด จนเกิดอาการหอบเหนื่อยทันที หลังการไอ ทั้งนี้หากรักษาไม่ถูกวิธี การติดเชื้อจากหลอดลมอาจลามไปที่ปอด ทำให้เกิดปอดอักเสบ (Pneumonia) หรือหลอดลมอักเสบเฉียบพลัน อาจกลายเป็นหลอดลมอักเสบเรื้อรัง หรือโรคถุงลมโป่งพอง รวมถึงมีความเสี่ยงเป็นอันตรายถึงชีวิตได้

การรักษา

โรคหลอดลมอักเสบชนิดเฉียบพลัน มักจะหายได้เอง ภายใน 7-10 วัน ถ้าปฏิบัติอย่างถูกต้อง

•พักผ่อนให้เพียงพอ ดื่มน้ำอุ่นบ่อยๆ เพราะน้ำเป็นยาละลายเสมหะได้ดีที่สุด

•หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่ ควัน กลิ่นฉุน ควันบุหรี่ สารเคมี ฝุ่น สารระคายเคืองต่างๆ

•หลีกเลี่ยงอากาศเย็น และแห้ง ซึ่งจะทำให้ไอมากขึ้น

•ควรให้ความอบอุ่นแก่ร่างกายขณะนอนให้เพียงพอ 

•ควรหาสาเหตุที่ทำให้เป็นหลอดลมอักเสบ สาเหตุที่พบได้บ่อยที่ทำให้ภูมิต้านทานน้อยลง เช่น เครียด, นอนหลับพักผ่อนไม่เพียงพอ, สัมผัสอากาศที่เย็นมากๆ

•รักษาตามอาการ เช่น มีไข้ อาจรับประทานยาลดไข้แต่ถ้าไอมากๆ อาจรับประทานยาลดหรือระงับอาการไอ  ถ้ามีเสมหะมาก อาจรับประทานยาขับเสมหะ หรือยาละลายเสมหะ

แหล่งที่มา : https://www.bpksamutprakan.com/care_blog/view/78

Categories
บทความ

ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ไหน รุนแรงที่สุด มีอาการอย่างไร ป้องกันได้หรือไม่

ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ไหน รุนแรงที่สุด มีอาการอย่างไร ป้องกันได้หรือไม่

จากการที่ไข้หวัดใหญ่กำลังแพร่ระบาดในขณะนี้ มีทั้งไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ A และไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ B ทำให้เกิดคำถามว่าไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ไหนรุนแรงที่สุด และสามารถป้องกันได้หรือไม่

ไข้หวัดใหญ่ ชื่ออาจจะฟังดูไม่น่ากลัวเท่าโควิด-19 แต่ความจริงแล้วมีความรุนแรงกว่าที่คิด รศ. (พิเศษ) นพ.ทวี โชติพิทยสุนนท์ ประธานมูลนิธิส่งเสริมการศึกษาไข้หวัดใหญ่ เผยว่า ในช่วงฤดูฝนของปี 2566 นี้ มีการระบาดของไข้หวัดใหญ่เพิ่มขึ้นกว่า 3 ปีที่ผ่านมา ซึ่งอยู่ในช่วงที่โควิด-19 กำลังแพร่ระบาดไปทั่วโลก ทำให้ผู้คนเก็บตัวในบ้าน ระมัดระวังด้านสุขอนามัย โอกาสแพร่เชื้อไข้หวัดใหญ่ก็น้อยลง

นอกจากนี้ประชาชนฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่น้อยลง ทำให้ร่างกายไม่มีภูมิคุ้มกัน แต่ไวรัสไข้หวัดใหญ่ยังหมุนเวียนอยู่อย่างเบาบาง เมื่อการระบาดของโควิด-19 ลดลง สังคมเข้าสู่สภาวะปกติ ทำให้พบผู้ป่วยไข้หวัดใหญ่มากขึ้นอย่างชัดเจน ข้อมูลล่าสุดจากกรมควบคุมโรคเผยว่า ปี 2566 คนไทยติดเชื้อไข้หวัดใหญ่ไปแล้วกว่า 200,000 ราย และยังไม่มีแนวโน้มที่จะลดลง เพราะคนไทยยังไม่มี ‘ภูมิคุ้มกัน’ ไข้หวัดใหญ่

ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ไหน รุนแรงที่สุด

ไข้หวัดใหญ่ คือ โรคติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจ ที่มีสาเหตุมาจาก “เชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่” ทำให้ผู้ติดเชื้อ มีไข้สูง ปวดหัว ตัวร้อน ไอ จาม มีน้ำมูก และปวดเมื่อยตามตัว โดยเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ ที่ปัจจุบันถือได้ว่า “ร้ายกาจที่สุด” และส่งผลกระทบต่อผู้คนในสังคมเรามากที่สุดนั้น จะมีอยู่ด้วยกัน 2 สายพันธุ์ ได้แก่

1. ไวรัสไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ A

เป็นสายพันธุ์ที่มีความอันตรายมากที่สุด เพราะสามารถกลายพันธุ์ได้ รวมทั้งยังแพร่ระบาดได้เป็นวงกว้าง ทำให้เชื้อมีความเป็นลูกผสม และมีฤทธิ์รุนแรง โดยไวรัสไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ A มักจะแพร่ระบาดตามฤดูฝนและฤดูหนาว ซึ่งสามารถแบ่งแยกออกได้เป็น 2 สายพันธุ์ย่อยที่พบบ่อย คือ H1N1 และ H3N2

2. ไวรัสไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ B

เป็นสายพันธุ์ที่มีความอันตรายรุนแรงเช่นกัน ที่พบได้บ่อย คือ B Victoria, B Yamagata, B Phuket ซึ่งสามารถระบาดได้ทั้งในฤดูฝนและฤดูหนาวเช่นเดียวกัน แต่อาการไม่รุนแรงเท่าไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ A

อาการไข้หวัดใหญ่

สำหรับอาการของไข้หวัดใหญ่มักจะมีอาการไม่แตกต่างจากไข้หวัดทั่วไป แต่มีความรุนแรงกว่า โดยสัญญาณที่บ่งบอกว่าอาการที่เราเป็นอยู่นั้นไม่ใช่ไข้หวัดธรรมดา แต่เป็นไข้หวัดใหญ่ ประกอบไปด้วย

  • มีไข้สูงกว่า 38 องศาฯ ขึ้นไป
  • มีอาการปวดศีรษะ
  • หนาวสั่น อ่อนเพลีย
  • มีน้ำมูกไหล คัดจมูก
  • เจ็บคอ มีอาการไอ
  • ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ ตามร่างกาย แขน ขา ตามตัว
  • ในเด็กเล็กมีอาการถ่ายเหลว คลื่นไส้ อาเจียน และชักจากไข้สูง

ไข้หวัดใหญ่ส่วนมากจะมีระยะเวลาอาการของโรค 5 วัน หากมีอาการนานกว่านั้น อาจเกิดจากการติดเชื้อของแบคทีเรียแทรกซ้อนที่พบได้ในบางราย

ใครเป็นกลุ่มเสี่ยงไข้หวัดใหญ่

ต้องบอกว่าทุกคนเป็นกลุ่มเสี่ยงที่สามารถติดเชื้อไข้หวัดใหญ่ได้ เพราะติดต่อผ่านการไอ จาม พูดคุย แล้วสูดเอาละอองที่มีเชื้อไวรัสเข้าสู่ร่างกาย ซึ่งจะติดเชื้อได้ง่ายมาก-น้อยแค่ไหน ก็ขึ้นอยู่ 2 ปัจจัย คือ ความรุนแรงและปริมาณของเชื้อ ประกอบกับสภาพร่างกายของเรา หากร่างกายไม่แข็งแรงแล้ว ต่อให้เชื้อไม่ดุ มีปริมาณน้อย ก็อาจติดเชื้อและเป็นไข้หวัดใหญ่ได้ในที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในบุคคลกลุ่มเสี่ยงดังต่อไปนี้ ต้องยิ่งระมัดระวัง เพราะมีโอกาสเกิดภาวะรุนแรงแทรกซ้อนมากที่สุด

  • หญิงมีครรภ์
  • เด็กเล็ก อายุ 6 เดือน ถึง 2 ปี
  • บุคคลที่มีอายุ 65 ปีขึ้นไป
  • ผู้ป่วยโรคเรื้อรัง ได้แก่ ปอดอุดกั้นเรื้อรัง หืด หัวใจ ไตวาย หลอดเลือดสมอง เบาหวาน ธาลัสซีเมีย มะเร็งที่อยู่ระหว่างได้รับเคมีบำบัด ผู้พิการทางสมองที่ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ ผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง และผู้ติดเชื้อเอชไอวี
  • ผู้ที่มีน้ำหนักตั้งแต่ 100 กิโลกรัม หรือดัชนีมวลกายตั้งแต่ 35 กิโลกรัมต่อตารางเมตร

กลุ่มที่ต้องระวังการติดเชื้อไช้หวัดใหญ่เป็นพิเศษ คือ กลุ่มผู้สูงอายุ เพราะมีโอกาสเสียชีวิตสูงกว่ากลุ่มอายุอื่นๆ หากป่วยเป็นไข้หวัดใหญ่แล้ว โรคแทรกซ้อนที่อาจจะตามมา และทำให้เกิดความรุนแรงสูงเป็นอันดับหนึ่ง คือ ‘ปอดอักเสบ’ ตามมาด้วย โรคหัวใจวาย โรคกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลัน และโรคหลอดเลือดสมอง (stroke)

วิธีป้องกันการติดเชื้อไข้หวัดใหญ่

  1. ไม่ควรคลุกคลีใกล้ชิดกับผู้ป่วยที่มีอาการไข้หวัด
  2. ควรปิดปาก จมูก ด้วยหน้ากากอนามัย
  3. หลีกเลี่ยงการอยู่ในสถานที่ที่มีผู้คนแออัด และอากาศถ่ายเทไม่ดีเป็นเวลานานโดยไม่จำเป็น
  4. หมั่นล้างมือบ่อยๆ ด้วยน้ำและสบู่ หรือใช้แอลกอฮอล์เจลทำความสะอาดมือ
  5. ไม่ใช้สิ่งของร่วมกับผู้อื่น เช่น แก้วน้ำ หลอดดูดน้ำ ช้อนอาหาร ผ้าเช็ดมือ ผ้าเช็ดหน้า ผ้าเช็ดตัว เป็นต้น
  6. ฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ปีละครั้ง โดยเฉพาะผู้ป่วยกลุ่มเสี่ยง

ดังนั้นคำถามที่ว่าไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ไหนรุนแรงที่สุด ต้องบอกว่ามีความรุนแรงทั้งสองสายพันธุ์ แม้ว่าสายพันธุ์ B จะมีความรุนแรงของอาการน้อยกว่า แต่ก็ไม่ควรประมาท โดยเฉพาะบุคคลที่เป็นกลุ่มเสี่ยง ทางที่ดีที่สุดคือควรป้องกันตนเองไม่ให้ติดเชื้อ รวมทั้งฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่เป็นประจำทุกปี