โรคภูมิแพ้อากาศ การป้องกัน และการทานอาหารเพื่อดูแลสุขภาพ

ในยุคที่สภาพอากาศเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ฝุ่น PM 2.5 และมลภาวะรอบตัวเพิ่มมากขึ้น “โรคภูมิแพ้อากาศ” กลายเป็นหนึ่งในปัญหาสุขภาพที่คนไทยจำนวนมากต้องเผชิญ โดยเฉพาะในกลุ่มคนวัยทำงานและเด็กวัยเรียนที่ต้องอยู่ในห้องแอร์เป็นเวลานาน

แม้โรคนี้จะไม่อันตรายถึงชีวิต แต่สร้างความรำคาญและส่งผลต่อคุณภาพชีวิตอย่างมาก เช่น คัดจมูก น้ำมูกไหล หรือจามติดต่อกันในตอนเช้า บทความนี้จะพาคุณทำความเข้าใจ สาเหตุของโรคภูมิแพ้อากาศ วิธีป้องกันที่ถูกต้อง และอาหารที่ช่วยดูแลร่างกายให้แข็งแรงจากภายใน


1. โรคภูมิแพ้อากาศคืออะไร

โรคภูมิแพ้อากาศ (Allergic Rhinitis) เกิดจากการที่ร่างกายมีปฏิกิริยาตอบสนองต่อสารก่อภูมิแพ้ในอากาศมากเกินไป เช่น

  • ฝุ่นในบ้านและไรฝุ่น

  • ละอองเกสรดอกไม้

  • ควันบุหรี่ ควันรถ

  • กลิ่นน้ำหอม หรือสารเคมีบางชนิด

  • อุณหภูมิที่เปลี่ยนแปลงรวดเร็ว เช่น จากร้อนสู่เย็นทันที

เมื่อร่างกายสัมผัสสารก่อภูมิแพ้ ระบบภูมิคุ้มกันจะหลั่งสาร “ฮีสตามีน (Histamine)” ออกมา ส่งผลให้เกิดอาการต่าง ๆ เช่น

อาการทั่วไปที่พบได้บ่อย:

  • จามบ่อย โดยเฉพาะตอนเช้า

  • คัดจมูก น้ำมูกใส หรือมีเสมหะไหลลงคอ

  • คันจมูก คันตา หรือคันเพดานปาก

  • นอนกรน หายใจไม่สะดวก โดยเฉพาะในห้องแอร์

  • อ่อนเพลีย เหนื่อยง่ายจากการหายใจไม่เต็มปอด


2. ปัจจัยที่กระตุ้นให้เกิดโรคภูมิแพ้อากาศ

โรคนี้สามารถเกิดได้ทั้งจาก พันธุกรรม และ สิ่งแวดล้อมรอบตัว

  • หากมีพ่อแม่หรือญาติพี่น้องเป็นภูมิแพ้ โอกาสที่ลูกจะเป็นก็สูงถึง 40–60%

  • การอยู่ในที่อับชื้น มีฝุ่นสะสม หรือเปิดแอร์เป็นเวลานาน ก็เพิ่มโอกาสกระตุ้นอาการได้เช่นกัน

ปัจจัยกระตุ้นที่พบบ่อย:

  • การเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิฉับพลัน

  • มลภาวะ ฝุ่น PM 2.5

  • การนอนดึก พักผ่อนไม่เพียงพอ

  • ภาวะเครียด และระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ

  • การดื่มน้ำน้อย ทำให้เยื่อบุจมูกแห้ง


3. วิธีป้องกันโรคภูมิแพ้อากาศ

แม้โรคนี้จะไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ แต่สามารถควบคุมอาการและลดการเกิดซ้ำได้ หากรู้จักปรับพฤติกรรมและสภาพแวดล้อมให้เหมาะสม

3.1 หลีกเลี่ยงสารก่อภูมิแพ้
  • ทำความสะอาดบ้านสม่ำเสมอ โดยเฉพาะบริเวณที่มีฝุ่น เช่น ผ้าม่าน พรม และหมอน

  • หมั่นซักผ้าปูที่นอนสัปดาห์ละ 1 ครั้ง ด้วยน้ำอุ่นอย่างน้อย 60°C เพื่อกำจัดไรฝุ่น

  • หลีกเลี่ยงการเลี้ยงสัตว์ที่มีขนในห้องนอน

  • ใช้ เครื่องฟอกอากาศ (Air Purifier) ช่วยกรองฝุ่น PM 2.5 และสารก่อภูมิแพ้

3.2 ปรับพฤติกรรมในชีวิตประจำวัน
  • หลีกเลี่ยงอยู่ในที่มีควันหรือกลิ่นแรง เช่น ควันบุหรี่ หรือกลิ่นน้ำหอม

  • ดื่มน้ำให้เพียงพอวันละ 6–8 แก้ว เพื่อให้เยื่อบุจมูกชุ่มชื้น

  • ออกกำลังกายเบา ๆ สัปดาห์ละ 3–4 ครั้ง เพื่อเสริมภูมิคุ้มกัน

  • หมั่นล้างจมูกด้วยน้ำเกลือ (Normal Saline) ช่วยลดสิ่งระคายเคือง

  • พักผ่อนให้เพียงพอและนอนหลับในห้องที่อากาศถ่ายเทดี


4. อาหารที่ช่วยลดอาการภูมิแพ้อากาศ

อาหารมีบทบาทสำคัญในการเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน และช่วยให้ร่างกายต่อสู้กับสารก่อภูมิแพ้ได้ดีขึ้น
ต่อไปนี้คืออาหารที่แพทย์และนักโภชนาการแนะนำสำหรับผู้มีอาการภูมิแพ้อากาศ

4.1 อาหารที่ควรกินบ่อยๆ

1. ผักและผลไม้ที่มีวิตามินซีสูง
เช่น ส้ม มะนาว กีวี ฝรั่ง และบรอกโคลี — วิตามินซีช่วยลดการหลั่งฮีสตามีนและเสริมภูมิคุ้มกัน

2. อาหารที่มีโอเมก้า 3
เช่น ปลาแซลมอน ปลาทู ถั่ววอลนัต และเมล็ดแฟลกซ์ ช่วยลดการอักเสบของเยื่อบุจมูก

3. อาหารที่มีโปรไบโอติก (Probiotics)
เช่น โยเกิร์ต นมเปรี้ยว หรืออาหารหมัก ช่วยปรับสมดุลจุลินทรีย์ในลำไส้ ซึ่งเกี่ยวข้องกับระบบภูมิคุ้มกันโดยตรง

4. สมุนไพรไทยช่วยต้านภูมิแพ้
เช่น กระเทียม ขิง ขมิ้น และฟ้าทะลายโจร มีสารต้านการอักเสบและช่วยให้ระบบทางเดินหายใจโล่งขึ้น

4.2 อาหารที่ควรหลีกเลี่ยง
  • อาหารแปรรูปและของมัน ของทอด

  • เครื่องดื่มแอลกอฮอล์และคาเฟอีน

  • อาหารที่มีสารกันบูดหรือกลิ่นแต่งสังเคราะห์
    เพราะสิ่งเหล่านี้อาจกระตุ้นให้เกิดการอักเสบและเพิ่มความไวต่อภูมิแพ้ได้


5. เสริมภูมิคุ้มกันด้วยการใช้ชีวิตอย่างสมดุล

นอกจากการกินอาหารที่ดีแล้ว การดูแลสุขภาพกายใจให้แข็งแรงก็สำคัญไม่แพ้กัน เช่น

  • ออกกำลังกายเป็นประจำ (เดินเร็ว ว่ายน้ำ โยคะ)

  • รับแสงแดดอ่อน ๆ ช่วงเช้าเพื่อกระตุ้นวิตามินดี

  • ฝึกหายใจลึก (Deep Breathing) เพื่อช่วยให้ปอดทำงานเต็มที่

  • หลีกเลี่ยงความเครียด เพราะฮอร์โมนความเครียดจะกดการทำงานของภูมิคุ้มกัน


สรุป — เข้าใจและดูแลโรคภูมิแพ้อากาศได้ด้วยตัวเอง

โรคภูมิแพ้อากาศอาจหลีกเลี่ยงไม่ได้ทั้งหมด แต่สามารถ “อยู่ร่วมกับมันได้อย่างสบาย” หากเข้าใจวิธีจัดการที่ถูกต้อง
การปรับพฤติกรรมในชีวิตประจำวัน เช่น รักษาความสะอาด หลีกเลี่ยงฝุ่น และเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อระบบภูมิคุ้มกัน จะช่วยลดความถี่ของอาการและทำให้ร่างกายแข็งแรงจากภายใน

อย่ารอให้ภูมิแพ้กลายเป็นอุปสรรคในชีวิตประจำวัน
เริ่มดูแลตัวเองตั้งแต่วันนี้ ด้วยการ “ป้องกันที่ต้นเหตุ” — เพราะสุขภาพดี เริ่มได้จากการหายใจอย่างโล่งและสบายทุกวัน