โรค RSV คืออะไร? ทำไมผู้ปกครองต้องใส่ใจ

ในช่วงฤดูฝนและฤดูหนาว มักมีข่าวเกี่ยวกับเด็กเล็กป่วยด้วยโรคทางเดินหายใจที่ชื่อว่า RSV (Respiratory Syncytial Virus) ซึ่งหลายครั้งทำให้ผู้ปกครองเกิดความกังวล เนื่องจากโรคนี้สามารถทำให้เด็กป่วยรุนแรงถึงขั้นนอนโรงพยาบาลได้

แม้ว่า RSV จะมีอาการคล้ายไข้หวัดทั่วไป แต่เชื้อไวรัสชนิดนี้มีความพิเศษตรงที่ สามารถทำให้เกิดการอักเสบในหลอดลมเล็กและปอด ได้ง่าย โดยเฉพาะในเด็กอายุน้อย ทำให้โรคนี้เป็นภัยเงียบที่ผู้ปกครองต้องใส่ใจเป็นพิเศษ


1. โรค RSV คืออะไร?

RSV ย่อมาจาก Respiratory Syncytial Virus เป็นเชื้อไวรัสที่ก่อให้เกิดการติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจ พบได้บ่อยในเด็กเล็ก และแพร่ระบาดง่ายในชุมชน เช่น ศูนย์เด็กเล็ก โรงเรียนอนุบาล หรือโรงพยาบาลเด็ก

  • เชื้อ RSV ติดต่อได้ผ่าน ละอองฝอย (Droplet) จากการไอ จาม หรือการสัมผัสสิ่งของที่มีเชื้อ

  • ระยะฟักตัวประมาณ 2–8 วัน

  • อาการที่พบได้บ่อย ได้แก่ ไข้ ไอ น้ำมูกไหล หายใจมีเสียงหวีด และหอบเหนื่อย


2. ทำไม RSV ถึงอันตรายในเด็กเล็ก

แม้ว่าในผู้ใหญ่หรือเด็กโต การติดเชื้อ RSV อาจทำให้เป็นแค่ไข้หวัดเล็กน้อย แต่ใน เด็กเล็กอายุต่ำกว่า 2 ปี โรคนี้ถือว่าอันตรายเพราะอาจลุกลามจนเกิดภาวะแทรกซ้อน เช่น:

  • หลอดลมฝอยอักเสบ (Bronchiolitis) ทำให้หายใจลำบาก

  • ปอดอักเสบ (Pneumonia) ซึ่งอาจรุนแรงจนต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ

  • เด็กที่มีโรคประจำตัว เช่น โรคหัวใจพิการแต่กำเนิด โรคปอดเรื้อรัง หรือเด็กคลอดก่อนกำหนด จะมีความเสี่ยงสูงกว่าปกติ


3. อาการของโรค RSV

อาการทั่วไป (คล้ายไข้หวัด)
  • มีไข้

  • ไอ มีน้ำมูก

  • เบื่ออาหาร

อาการรุนแรงที่ต้องระวัง
  • หายใจเร็ว หายใจแรง หรือมีเสียงหายใจดัง “วี้ด”

  • หน้าอกบุ๋มเวลาหายใจ

  • ปากหรือเล็บเขียวคล้ำ (อาการพร่องออกซิเจน)

  • ซึม ไม่ดื่มนมหรือกินอาหาร

👉 หากมีอาการเหล่านี้ ต้องรีบพาเด็กไปพบแพทย์ทันที


4. การวินิจฉัยโรค RSV

แพทย์จะซักประวัติ ตรวจร่างกาย และอาจมีการตรวจเพิ่มเติม เช่น:

  • Swab น้ำมูก/เสมหะ เพื่อตรวจหาเชื้อ RSV

  • เอกซเรย์ปอด หากสงสัยภาวะปอดอักเสบ

  • การวัดค่าออกซิเจนปลายนิ้ว (Pulse Oximeter) เพื่อติดตามการหายใจ


5. การรักษาโรค RSV

ปัจจุบัน ยังไม่มียาต้านไวรัสเฉพาะสำหรับ RSV การรักษาส่วนใหญ่เป็นการดูแลตามอาการ ได้แก่:

  • ให้ยาลดไข้ เช่น พาราเซตามอล

  • ให้ยาขยายหลอดลมหากมีอาการหอบ

  • ให้น้ำเกลือในกรณีเด็กดื่มน้ำน้อยหรือขาดน้ำ

  • ใช้ออกซิเจนหรือใส่ท่อช่วยหายใจในรายที่รุนแรง

👉 ส่วนใหญ่โรคจะหายเองภายใน 1–2 สัปดาห์ แต่จำเป็นต้องเฝ้าระวังอาการอย่างใกล้ชิด


6. การป้องกันโรค RSV

เนื่องจากยังไม่มียารักษาเฉพาะและวัคซีนที่ใช้แพร่หลาย การป้องกันจึงเป็นสิ่งสำคัญที่สุด:

  • ล้างมือให้สะอาดและบ่อยครั้ง

  • หลีกเลี่ยงการพาเด็กไปในที่แออัด โดยเฉพาะช่วงฤดูฝนและฤดูหนาว

  • แยกของใช้ส่วนตัว เช่น ช้อน แก้วน้ำ ขวดนม

  • หากผู้ปกครองมีอาการป่วย ควรใส่หน้ากากอนามัยก่อนสัมผัสเด็ก

  • ทำความสะอาดของเล่นและพื้นผิวที่เด็กสัมผัสบ่อย ๆ


7. ทำไมผู้ปกครองต้องใส่ใจโรค RSV

  1. เด็กเล็กเสี่ยงสูงกว่าผู้ใหญ่ อาการอาจรุนแรงถึงขั้นปอดอักเสบ

  2. การแพร่ระบาดง่าย โดยเฉพาะในโรงเรียนและศูนย์เด็กเล็ก

  3. ยังไม่มียารักษาเฉพาะ ทำได้แค่ประคับประคองอาการ

  4. มีโอกาสกลับมาเป็นซ้ำ เพราะภูมิคุ้มกันต่อ RSV ไม่คงทนถาวร

  5. ภาระต่อครอบครัว หากลูกป่วยหนัก อาจต้องนอนโรงพยาบาลและมีค่าใช้จ่ายสูง


สรุป

RSV (Respiratory Syncytial Virus) เป็นโรคติดเชื้อทางเดินหายใจที่ผู้ปกครองต้องให้ความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะกับเด็กเล็ก เนื่องจากสามารถลุกลามจนเกิดภาวะแทรกซ้อนรุนแรงได้ แม้ปัจจุบันจะยังไม่มียารักษาเฉพาะ แต่การเฝ้าระวัง ดูแลสุขภาพ และการป้องกันด้วยวิธีง่าย ๆ เช่น ล้างมือ หลีกเลี่ยงที่แออัด และดูแลความสะอาดรอบตัวเด็ก เป็นสิ่งที่ช่วยลดความเสี่ยงได้มาก

👉 หากลูกมีอาการน่าสงสัย ควรรีบพาไปพบแพทย์ทันที เพราะ “การรักษาเร็ว = ความปลอดภัยของลูกน้อย”