Categories
บทความ

โรคภูมิแพ้อากาศ การป้องกัน และการทานอาหารเพื่อดูแลสุขภาพ

โรคภูมิแพ้อากาศ การป้องกัน และการทานอาหารเพื่อดูแลสุขภาพ

ในยุคที่สภาพอากาศเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ฝุ่น PM 2.5 และมลภาวะรอบตัวเพิ่มมากขึ้น “โรคภูมิแพ้อากาศ” กลายเป็นหนึ่งในปัญหาสุขภาพที่คนไทยจำนวนมากต้องเผชิญ โดยเฉพาะในกลุ่มคนวัยทำงานและเด็กวัยเรียนที่ต้องอยู่ในห้องแอร์เป็นเวลานาน

แม้โรคนี้จะไม่อันตรายถึงชีวิต แต่สร้างความรำคาญและส่งผลต่อคุณภาพชีวิตอย่างมาก เช่น คัดจมูก น้ำมูกไหล หรือจามติดต่อกันในตอนเช้า บทความนี้จะพาคุณทำความเข้าใจ สาเหตุของโรคภูมิแพ้อากาศ วิธีป้องกันที่ถูกต้อง และอาหารที่ช่วยดูแลร่างกายให้แข็งแรงจากภายใน


1. โรคภูมิแพ้อากาศคืออะไร

โรคภูมิแพ้อากาศ (Allergic Rhinitis) เกิดจากการที่ร่างกายมีปฏิกิริยาตอบสนองต่อสารก่อภูมิแพ้ในอากาศมากเกินไป เช่น

  • ฝุ่นในบ้านและไรฝุ่น

  • ละอองเกสรดอกไม้

  • ควันบุหรี่ ควันรถ

  • กลิ่นน้ำหอม หรือสารเคมีบางชนิด

  • อุณหภูมิที่เปลี่ยนแปลงรวดเร็ว เช่น จากร้อนสู่เย็นทันที

เมื่อร่างกายสัมผัสสารก่อภูมิแพ้ ระบบภูมิคุ้มกันจะหลั่งสาร “ฮีสตามีน (Histamine)” ออกมา ส่งผลให้เกิดอาการต่าง ๆ เช่น

อาการทั่วไปที่พบได้บ่อย:

  • จามบ่อย โดยเฉพาะตอนเช้า

  • คัดจมูก น้ำมูกใส หรือมีเสมหะไหลลงคอ

  • คันจมูก คันตา หรือคันเพดานปาก

  • นอนกรน หายใจไม่สะดวก โดยเฉพาะในห้องแอร์

  • อ่อนเพลีย เหนื่อยง่ายจากการหายใจไม่เต็มปอด


2. ปัจจัยที่กระตุ้นให้เกิดโรคภูมิแพ้อากาศ

โรคนี้สามารถเกิดได้ทั้งจาก พันธุกรรม และ สิ่งแวดล้อมรอบตัว

  • หากมีพ่อแม่หรือญาติพี่น้องเป็นภูมิแพ้ โอกาสที่ลูกจะเป็นก็สูงถึง 40–60%

  • การอยู่ในที่อับชื้น มีฝุ่นสะสม หรือเปิดแอร์เป็นเวลานาน ก็เพิ่มโอกาสกระตุ้นอาการได้เช่นกัน

ปัจจัยกระตุ้นที่พบบ่อย:

  • การเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิฉับพลัน

  • มลภาวะ ฝุ่น PM 2.5

  • การนอนดึก พักผ่อนไม่เพียงพอ

  • ภาวะเครียด และระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ

  • การดื่มน้ำน้อย ทำให้เยื่อบุจมูกแห้ง


3. วิธีป้องกันโรคภูมิแพ้อากาศ

แม้โรคนี้จะไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ แต่สามารถควบคุมอาการและลดการเกิดซ้ำได้ หากรู้จักปรับพฤติกรรมและสภาพแวดล้อมให้เหมาะสม

3.1 หลีกเลี่ยงสารก่อภูมิแพ้
  • ทำความสะอาดบ้านสม่ำเสมอ โดยเฉพาะบริเวณที่มีฝุ่น เช่น ผ้าม่าน พรม และหมอน

  • หมั่นซักผ้าปูที่นอนสัปดาห์ละ 1 ครั้ง ด้วยน้ำอุ่นอย่างน้อย 60°C เพื่อกำจัดไรฝุ่น

  • หลีกเลี่ยงการเลี้ยงสัตว์ที่มีขนในห้องนอน

  • ใช้ เครื่องฟอกอากาศ (Air Purifier) ช่วยกรองฝุ่น PM 2.5 และสารก่อภูมิแพ้

3.2 ปรับพฤติกรรมในชีวิตประจำวัน
  • หลีกเลี่ยงอยู่ในที่มีควันหรือกลิ่นแรง เช่น ควันบุหรี่ หรือกลิ่นน้ำหอม

  • ดื่มน้ำให้เพียงพอวันละ 6–8 แก้ว เพื่อให้เยื่อบุจมูกชุ่มชื้น

  • ออกกำลังกายเบา ๆ สัปดาห์ละ 3–4 ครั้ง เพื่อเสริมภูมิคุ้มกัน

  • หมั่นล้างจมูกด้วยน้ำเกลือ (Normal Saline) ช่วยลดสิ่งระคายเคือง

  • พักผ่อนให้เพียงพอและนอนหลับในห้องที่อากาศถ่ายเทดี


4. อาหารที่ช่วยลดอาการภูมิแพ้อากาศ

อาหารมีบทบาทสำคัญในการเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน และช่วยให้ร่างกายต่อสู้กับสารก่อภูมิแพ้ได้ดีขึ้น
ต่อไปนี้คืออาหารที่แพทย์และนักโภชนาการแนะนำสำหรับผู้มีอาการภูมิแพ้อากาศ

4.1 อาหารที่ควรกินบ่อยๆ

1. ผักและผลไม้ที่มีวิตามินซีสูง
เช่น ส้ม มะนาว กีวี ฝรั่ง และบรอกโคลี — วิตามินซีช่วยลดการหลั่งฮีสตามีนและเสริมภูมิคุ้มกัน

2. อาหารที่มีโอเมก้า 3
เช่น ปลาแซลมอน ปลาทู ถั่ววอลนัต และเมล็ดแฟลกซ์ ช่วยลดการอักเสบของเยื่อบุจมูก

3. อาหารที่มีโปรไบโอติก (Probiotics)
เช่น โยเกิร์ต นมเปรี้ยว หรืออาหารหมัก ช่วยปรับสมดุลจุลินทรีย์ในลำไส้ ซึ่งเกี่ยวข้องกับระบบภูมิคุ้มกันโดยตรง

4. สมุนไพรไทยช่วยต้านภูมิแพ้
เช่น กระเทียม ขิง ขมิ้น และฟ้าทะลายโจร มีสารต้านการอักเสบและช่วยให้ระบบทางเดินหายใจโล่งขึ้น

4.2 อาหารที่ควรหลีกเลี่ยง
  • อาหารแปรรูปและของมัน ของทอด

  • เครื่องดื่มแอลกอฮอล์และคาเฟอีน

  • อาหารที่มีสารกันบูดหรือกลิ่นแต่งสังเคราะห์
    เพราะสิ่งเหล่านี้อาจกระตุ้นให้เกิดการอักเสบและเพิ่มความไวต่อภูมิแพ้ได้


5. เสริมภูมิคุ้มกันด้วยการใช้ชีวิตอย่างสมดุล

นอกจากการกินอาหารที่ดีแล้ว การดูแลสุขภาพกายใจให้แข็งแรงก็สำคัญไม่แพ้กัน เช่น

  • ออกกำลังกายเป็นประจำ (เดินเร็ว ว่ายน้ำ โยคะ)

  • รับแสงแดดอ่อน ๆ ช่วงเช้าเพื่อกระตุ้นวิตามินดี

  • ฝึกหายใจลึก (Deep Breathing) เพื่อช่วยให้ปอดทำงานเต็มที่

  • หลีกเลี่ยงความเครียด เพราะฮอร์โมนความเครียดจะกดการทำงานของภูมิคุ้มกัน


สรุป — เข้าใจและดูแลโรคภูมิแพ้อากาศได้ด้วยตัวเอง

โรคภูมิแพ้อากาศอาจหลีกเลี่ยงไม่ได้ทั้งหมด แต่สามารถ “อยู่ร่วมกับมันได้อย่างสบาย” หากเข้าใจวิธีจัดการที่ถูกต้อง
การปรับพฤติกรรมในชีวิตประจำวัน เช่น รักษาความสะอาด หลีกเลี่ยงฝุ่น และเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อระบบภูมิคุ้มกัน จะช่วยลดความถี่ของอาการและทำให้ร่างกายแข็งแรงจากภายใน

อย่ารอให้ภูมิแพ้กลายเป็นอุปสรรคในชีวิตประจำวัน
เริ่มดูแลตัวเองตั้งแต่วันนี้ ด้วยการ “ป้องกันที่ต้นเหตุ” — เพราะสุขภาพดี เริ่มได้จากการหายใจอย่างโล่งและสบายทุกวัน

Categories
บทความ

ภาวะนอนไม่หลับคืออะไร? รู้จักอาการตั้งแต่ระยะเริ่มต้นก่อนเรื้อรัง

ภาวะนอนไม่หลับคืออะไร? รู้จักอาการตั้งแต่ระยะเริ่มต้นก่อนเรื้อรัง

การนอนหลับคือ “กระบวนการฟื้นฟูร่างกายและจิตใจ” ที่สำคัญไม่แพ้อาหารหรือการออกกำลังกาย
แต่ในโลกที่เต็มไปด้วยความเครียด ความเร่งรีบ และเทคโนโลยีตลอด 24 ชั่วโมง “ภาวะนอนไม่หลับ” กลายเป็นปัญหาที่พบได้มากขึ้นเรื่อย ๆ
ทั้งในวัยทำงาน ผู้สูงอายุ และแม้แต่คนหนุ่มสาว

บทความนี้จะพาคุณทำความเข้าใจว่า ภาวะนอนไม่หลับคืออะไร เกิดขึ้นได้อย่างไร
และจะรู้ได้อย่างไรว่าคุณกำลังเริ่มมีอาการ “นอนไม่หลับเรื้อรัง” หรือยังอยู่ในระยะเริ่มต้นที่สามารถปรับพฤติกรรมได้ทัน


1. ภาวะนอนไม่หลับ (Insomnia) คืออะไร

ภาวะนอนไม่หลับ หรือ Insomnia หมายถึง ภาวะที่ร่างกาย “ไม่สามารถนอนหลับได้ตามปกติ”
ไม่ว่าจะเป็น การหลับยาก, ตื่นกลางดึกแล้วหลับต่อไม่ได้, หรือ ตื่นเช้าเกินไปทั้งที่ยังไม่พักผ่อนเพียงพอ

อาการเหล่านี้เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้คุณรู้สึก อ่อนเพลียในตอนเช้า, ง่วงตลอดวัน, ขาดสมาธิ, หรือ อารมณ์แปรปรวน

ในทางการแพทย์ ภาวะนอนไม่หลับแบ่งได้เป็น 2 กลุ่มใหญ่ ๆ คือ

ประเภทของภาวะนอนไม่หลับลักษณะอาการระยะเวลาเกิดอาการ
นอนไม่หลับชั่วคราว (Acute Insomnia)มักเกิดจากความเครียดหรือการเปลี่ยนแปลงในชีวิต เช่น เปลี่ยนที่นอน ทำงานหนัก เดินทางไกลเกิดขึ้นช่วงสั้น ๆ ไม่เกิน 3 สัปดาห์
นอนไม่หลับเรื้อรัง (Chronic Insomnia)หลับยากหรือตื่นบ่อยเกิน 3 คืนต่อสัปดาห์ และเป็นต่อเนื่องเกิน 3 เดือนต้องได้รับการประเมินและรักษาจากแพทย์เฉพาะทาง

2. สาเหตุหลักของภาวะนอนไม่หลับ

ภาวะนอนไม่หลับมีสาเหตุได้ทั้งทาง ร่างกาย, จิตใจ, และ พฤติกรรมการใช้ชีวิต
โดยมักเกิดจากหลายปัจจัยร่วมกัน เช่น

สาเหตุทางจิตใจ
  • ความเครียด ความกังวล หรือคิดมากก่อนนอน

  • ภาวะซึมเศร้า หรือวิตกกังวลเรื้อรัง

  • การเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์ เช่น การสูญเสียคนใกล้ชิด หรือการปรับตัวในชีวิต

สาเหตุทางร่างกาย
  • โรคประจำตัว เช่น กรดไหลย้อน ปวดข้อ ปวดหลัง เบาหวาน

  • ภาวะหยุดหายใจขณะหลับ (Sleep Apnea)

  • การใช้ยาบางชนิด เช่น ยาลดความดัน หรือยากระตุ้นระบบประสาท

พฤติกรรมการใช้ชีวิต
  • ใช้โทรศัพท์หรือจอคอมพิวเตอร์ก่อนนอน แสงสีฟ้าทำให้สมองหลั่งเมลาโทนินน้อยลง

  • ดื่มกาแฟ ชา หรือเครื่องดื่มชูกำลังในช่วงบ่ายและเย็น

  • เข้านอนไม่เป็นเวลา นอนกลางวันมากเกินไป

  • ดื่มแอลกอฮอล์หรือสูบบุหรี่ก่อนนอน


3. อาการของภาวะนอนไม่หลับ

ภาวะนอนไม่หลับไม่ได้หมายถึง “แค่หลับยาก” เท่านั้น
แต่ยังรวมถึงอาการที่ส่งผลต่อคุณภาพชีวิตในตอนกลางวันด้วย

อาการตอนกลางคืน
  • นอนนานกว่าจะหลับ (มากกว่า 30 นาที)

  • ตื่นบ่อยกลางดึก หรือสะดุ้งตื่นแล้วหลับต่อไม่ได้

  • ตื่นเช้าเกินไปแม้ยังไม่เต็มอิ่ม

  • รู้สึกนอนไม่พอ แม้จะอยู่บนเตียงนานหลายชั่วโมง

อาการตอนกลางวัน
  • ง่วงซึม เหนื่อยง่าย ไม่มีแรง

  • หงุดหงิด อารมณ์แปรปรวน

  • สมาธิสั้น ความจำลดลง

  • ทำงานผิดพลาดบ่อย หรือรู้สึกเบลอตลอดเวลา


4. สัญญาณว่า “ภาวะนอนไม่หลับเริ่มกลายเป็นเรื้อรัง”

หากคุณมีอาการดังต่อไปนี้ ควรเริ่มสังเกตและปรึกษาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญด้านการนอนหลับ

  1. นอนไม่หลับติดต่อกันเกิน 3 คืนต่อสัปดาห์

  2. อาการเป็นต่อเนื่องเกิน 1 เดือนขึ้นไป

  3. แม้พยายามปรับพฤติกรรมแล้ว แต่ยังไม่ดีขึ้น

  4. มีอาการวิตกกังวลเพิ่มขึ้นจากการกลัว “ว่าจะนอนไม่หลับอีก”

  5. เริ่มต้องพึ่งยานอนหลับเป็นประจำ

เมื่อภาวะนอนไม่หลับเรื้อรังเกิดขึ้น จะกระทบทั้งสุขภาพกายและจิต เช่น ภูมิคุ้มกันลดลง ความดันโลหิตสูง
และเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคซึมเศร้าในระยะยาว


5. การดูแลเบื้องต้นเมื่อเริ่มมีอาการนอนไม่หลับ

1. ปรับพฤติกรรมการนอน (Sleep Hygiene)
  • เข้านอนและตื่นนอนให้ตรงเวลาในทุกวัน แม้วันหยุด

  • ปิดจอมือถือและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ก่อนนอนอย่างน้อย 30 นาที

  • หลีกเลี่ยงกาแฟ แอลกอฮอล์ และอาหารมื้อหนักก่อนเข้านอน

  • ทำห้องนอนให้มืด เงียบ และอุณหภูมิเหมาะสม (ประมาณ 25°C)

2. ฝึกผ่อนคลายก่อนนอน
  • อาบน้ำอุ่น ฟังเพลงเบา ๆ หรืออ่านหนังสือ

  • ฝึกหายใจลึก ๆ หรือทำสมาธิสั้น ๆ ก่อนนอน

  • หลีกเลี่ยงการคิดเรื่องงานหรือเรื่องเครียดบนเตียง

3. ออกกำลังกายสม่ำเสมอ

การออกกำลังกายเบา ๆ เช่น เดินเร็ว โยคะ หรือยืดเหยียดตอนเย็น
ช่วยให้ร่างกายผ่อนคลายและหลับลึกขึ้น

4. อย่าฝืนให้นอน

ถ้านอนไม่หลับใน 20–30 นาที ให้ลุกไปทำกิจกรรมเบา ๆ เช่น อ่านหนังสือ แล้วค่อยกลับมานอนใหม่


6. เมื่อไหร่ควรพบแพทย์

ควรเข้ารับการปรึกษาแพทย์เมื่อ

  • มีอาการนอนไม่หลับติดต่อกันเกิน 3 สัปดาห์

  • รู้สึกอ่อนเพลียมาก กระทบกับชีวิตประจำวัน

  • มีภาวะวิตกกังวลหรือซึมเศร้าร่วมด้วย

  • เคยใช้ยานอนหลับแต่ไม่เห็นผล หรือเริ่มต้องใช้ยาเพิ่มขนาด

แพทย์อาจทำการประเมินรูปแบบการนอน (Sleep Diary)
หรือส่งตรวจการนอนหลับ (Sleep Test) เพื่อหาสาเหตุที่แท้จริง


7. สรุป

ภาวะนอนไม่หลับอาจดูเหมือนเรื่องเล็ก แต่ถ้าปล่อยไว้นานโดยไม่แก้ไข
อาจกลายเป็นปัญหาเรื้อรังที่ส่งผลต่อทั้งร่างกาย จิตใจ และการใช้ชีวิตประจำวัน

ข่าวดีคือ ภาวะนี้สามารถ “ป้องกันและรักษาได้” หากเริ่มสังเกตตัวเองตั้งแต่ระยะเริ่มต้น
เพียงปรับพฤติกรรมการนอนอย่างเหมาะสม ดูแลสุขภาพจิต และขอคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญเมื่อจำเป็น

เพราะ “การนอนที่ดี” คือรากฐานของสุขภาพที่แข็งแรงและสมดุลในทุกด้านของชีวิต

Categories
บทความ

ไข้หวัดใหญ่คืออะไร? ต่างจากไข้หวัดธรรมดายังไง

ไข้หวัดใหญ่คืออะไร? ต่างจากไข้หวัดธรรมดายังไง

บทความนี้เหมาะสำหรับเว็บไซต์โรงพยาบาล, คลินิก, บล็อกสุขภาพ หรือเพจให้ความรู้ทางการแพทย์
เนื้อหาครอบคลุมตั้งแต่ความหมายของไข้หวัดใหญ่, ชนิดของเชื้อไวรัส, กลไกการติดเชื้อ, ความแตกต่างจากไข้หวัดทั่วไป, อาการเตือน, วิธีป้องกัน และแนวทางดูแลตนเองครับ


บทนำ

หลายคนมักใช้คำว่า “ไข้หวัด” กับ “ไข้หวัดใหญ่” แทนกัน แต่ความจริงแล้วทั้งสองโรค ไม่เหมือนกัน
ไข้หวัดธรรมดา (Common Cold) มักมีอาการไม่รุนแรงและหายเองภายในไม่กี่วัน
ขณะที่ ไข้หวัดใหญ่ (Influenza) เกิดจากเชื้อไวรัสคนละชนิด มีอาการรุนแรงกว่า แพร่เชื้อได้เร็ว และอาจมีภาวะแทรกซ้อนถึงขั้น “ปอดอักเสบ” ได้ โดยเฉพาะในเด็ก ผู้สูงอายุ หรือผู้ที่มีโรคประจำตัว

ดังนั้น การแยกความแตกต่างระหว่างไข้หวัดใหญ่กับไข้หวัดทั่วไป จะช่วยให้เรารักษาได้ถูกวิธี และป้องกันการแพร่กระจายได้อย่างมีประสิทธิภาพ


ไข้หวัดใหญ่คืออะไร?

ไข้หวัดใหญ่ (Influenza) เป็นโรคติดเชื้อทางเดินหายใจที่เกิดจาก ไวรัสอินฟลูเอนซา (Influenza Virus)
ไวรัสชนิดนี้จะทำให้เกิดการอักเสบของเยื่อบุทางเดินหายใจ ตั้งแต่จมูก คอ หลอดลม จนถึงปอด

▪️ สายพันธุ์ของไวรัสไข้หวัดใหญ่

เชื้อไวรัสอินฟลูเอนซามีทั้งหมด 4 ชนิดหลัก ได้แก่

  1. Influenza A – พบบ่อยที่สุด และเป็นสาเหตุของการระบาดใหญ่ทั่วโลก (Pandemic) เช่น ไข้หวัดใหญ่ 2009 (H1N1)

  2. Influenza B – มักระบาดในวงจำกัด เช่น ภายในประเทศหรือโรงเรียน

  3. Influenza C – ก่ออาการเบา คล้ายหวัดทั่วไป

  4. Influenza D – พบในสัตว์ เช่น วัว ควาย ยังไม่พบติดในคน

เชื้อที่ทำให้เกิดโรคในคนส่วนใหญ่คือ Influenza A และ B ซึ่งมักกลายพันธุ์ได้ทุกปี จึงต้องมีการ “ฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ประจำปี” เพื่อป้องกันสายพันธุ์ใหม่ที่ระบาด


ไข้หวัดธรรมดาคืออะไร?

ไข้หวัดธรรมดา (Common Cold) เป็นโรคติดเชื้อทางเดินหายใจเช่นกัน
แต่เกิดจากไวรัสอีกกลุ่มหนึ่ง เช่น Rhinovirus, Coronavirus, Adenovirus หรือ Parainfluenza

โรคนี้พบได้บ่อยโดยเฉพาะในเด็กเล็กและผู้ที่ภูมิต้านทานต่ำ
มีอาการไอ จาม คัดจมูก แต่โดยทั่วไปจะไม่รุนแรง และสามารถหายได้เองภายใน 5–7 วัน โดยไม่ต้องใช้ยาต้านไวรัส


ความแตกต่างระหว่างไข้หวัดใหญ่ กับ ไข้หวัดธรรมดา

ลักษณะเปรียบเทียบ ไข้หวัดธรรมดา (Common Cold) ไข้หวัดใหญ่ (Influenza)
เชื้อสาเหตุ Rhinovirus, Coronavirus Influenza virus A, B
การเริ่มของอาการ ค่อย ๆ เป็น ค่อย ๆ หาย เริ่มเฉียบพลัน ภายใน 1–2 วัน
อาการไข้ มีไข้ต่ำหรือไม่มี ไข้สูง 38–40°C มักมีหนาวสั่น
อาการปวดเมื่อย ปวดเล็กน้อย ปวดกล้ามเนื้อ ปวดศีรษะมาก
ไอ เจ็บคอ น้ำมูกไหล อาการเด่นหลัก มีบ้าง แต่ไม่เด่นเท่าปวดเมื่อยและไข้สูง
ระยะเวลาของโรค 3–7 วัน 1–2 สัปดาห์
ภาวะแทรกซ้อน น้อยมาก พบได้ เช่น ปอดบวม หูอักเสบ หัวใจอักเสบ
ความสามารถในการแพร่เชื้อ ต่ำ สูงมาก แพร่เชื้อได้แม้ยังไม่มีอาการ
การรักษาเฉพาะทาง ยาแก้ไข้ แก้ไอ พักผ่อน ยาต้านไวรัส (Oseltamivir) + พักผ่อน + แยกผู้ป่วย
กลุ่มเสี่ยงรุนแรง เด็กเล็ก เด็กเล็ก, ผู้สูงอายุ, หญิงตั้งครรภ์, ผู้มีโรคเรื้อรัง

กลไกการติดเชื้อและการแพร่กระจาย

ทั้งไข้หวัดใหญ่และไข้หวัดธรรมดา “ติดต่อทางละอองฝอย (Droplet)” จากการไอ จาม หรือพูดใกล้กัน
รวมถึงการสัมผัสพื้นผิวที่มีเชื้อแล้วนำมาสัมผัสจมูกหรือปาก

แต่เชื้อไข้หวัดใหญ่แพร่ได้เร็วกว่า และสามารถแพร่เชื้อได้ตั้งแต่

  • 1 วันก่อนเริ่มมีอาการ

  • ไปจนถึง 5–7 วันหลังเริ่มป่วย

ในขณะที่ไข้หวัดธรรมดามักแพร่เชื้อได้ช่วงสั้นกว่า


อาการสำคัญของไข้หวัดใหญ่ที่ควรสังเกต

  • ไข้สูง 38°C ขึ้นไป ร่วมกับหนาวสั่น

  • ปวดศีรษะมาก ปวดกล้ามเนื้อ ปวดหลัง

  • เหนื่อยง่าย ไม่มีแรง

  • เจ็บคอ ไอแห้ง (บางรายไอมากจนแน่นหน้าอก)

  • เบื่ออาหาร คลื่นไส้ อาเจียน

  • บางรายมีอาการหอบ หายใจเร็ว หรือเจ็บหน้าอก (สัญญาณปอดอักเสบ)

หากมีอาการเหล่านี้ควรพบแพทย์ภายใน 48 ชั่วโมง เพราะช่วงเวลานี้เป็นระยะที่ยาต้านไวรัสได้ผลดีที่สุด


กลุ่มเสี่ยงที่อาการอาจรุนแรง

  1. เด็กเล็กอายุต่ำกว่า 5 ปี

  2. ผู้สูงอายุเกิน 65 ปี

  3. หญิงตั้งครรภ์

  4. ผู้ป่วยโรคเรื้อรัง เช่น เบาหวาน ความดัน หัวใจ หอบหืด

  5. ผู้มีภูมิคุ้มกันต่ำ หรือได้รับยากดภูมิ

กลุ่มเหล่านี้อาจเกิด ภาวะแทรกซ้อน เช่น ปอดบวม หูอักเสบ หรือหัวใจอักเสบ
จึงควรได้รับการดูแลจากแพทย์ใกล้ชิดและฉีดวัคซีนป้องกันทุกปี


วิธีป้องกันไข้หวัดใหญ่

  1. ฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ทุกปี – เพราะเชื้อกลายพันธุ์ตลอดเวลา

  2. ล้างมือบ่อย ๆ ด้วยสบู่หรือแอลกอฮอล์เจล

  3. หลีกเลี่ยงการอยู่ใกล้ผู้ป่วย หรือในที่แออัด

  4. ใส่หน้ากากอนามัยเมื่อมีอาการไอจาม

  5. พักผ่อนให้เพียงพอ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ และกินอาหารมีประโยชน์


การรักษาไข้หวัดใหญ่

การรักษาขึ้นอยู่กับความรุนแรงของอาการ

  • ผู้ป่วยทั่วไปสามารถพักผ่อน ดื่มน้ำมาก ๆ และรับประทานยาลดไข้

  • แพทย์อาจให้ ยาต้านไวรัส (Oseltamivir, Zanamivir) เพื่อช่วยลดระยะของโรค

  • ควรแยกผู้ป่วยออกจากผู้อื่นประมาณ 7 วันหลังเริ่มมีอาการ

❗ ห้ามซื้อยาปฏิชีวนะกินเอง เพราะยาปฏิชีวนะใช้ไม่ได้กับไวรัส


สรุป

สรุปสั้น ๆ ไข้หวัดธรรมดา ไข้หวัดใหญ่
ความรุนแรง เบา หายเองได้ รุนแรงกว่า เสี่ยงแทรกซ้อน
เชื้อสาเหตุ Rhinovirus / Coronavirus Influenza Virus A, B
ไข้ ต่ำหรือไม่มี สูงกว่า 38°C
ระยะเวลาหาย 3–7 วัน 7–14 วัน
การรักษา พักผ่อน ยาลดไข้ ยาต้านไวรัส + พักผ่อน
วัคซีนป้องกัน ไม่มี มี (ควรฉีดทุกปี)

ดังนั้น หากคุณมีไข้สูง ปวดเมื่อยมาก หรืออาการไม่ดีขึ้นภายใน 2–3 วัน
ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อแยกให้ชัดว่าเป็น “ไข้หวัดธรรมดา” หรือ “ไข้หวัดใหญ่”
เพราะการวินิจฉัยและรักษาที่ถูกต้องตั้งแต่เนิ่น ๆ จะช่วยป้องกันภาวะแทรกซ้อนได้ดีที่สุดครับ

Categories
บทความ

บริการตรวจสุขภาพพนักงานประจำปี ณ บริษัท แหลมฉบัง อินเตอร์เนชั่นแนล คันทรีคลับ จำกัด

     ให้บริการตรวจสุขภาพพนักงานประจำปี ณ บริษัท แหลมฉบัง อินเตอร์เนชั่นแนล คันทรีคลับ จำกัด วันที่ 23 กันยายน 2568 อีก 1 บริการที่ อินเทอเวลธ์ เฮลธ์แคร์ มอบให้กับลูกค้าคนสำคัญ ซึ่งได้รับเสียงชื่นชมในการให้บริการที่เป็นมืออาชีพ จากทีมบุคลากรทางการแพทย์ของเรา แถมราคาค่าบริการก็ไม่แพง แต่ประสิทธิภาพและคุณภาพอยู่ในระดับ A