อาการของ Office Syndrome และวิธีรักษาที่คุณควรรู้
ในปัจจุบันที่การทำงานในออฟฟิศหรือการนั่งทำงานในสำนักงานเป็นส่วนใหญ่ของชีวิตประจำวัน หลายคนมักพบปัญหาที่เกี่ยวกับอาการปวดเมื่อยและอาการบาดเจ็บที่เกิดจากการนั่งทำงานเป็นเวลานาน ซึ่งปัญหานี้มักถูกเรียกว่า Office Syndrome หรือ ออฟฟิศซินโดรม ซึ่งเกิดขึ้นจากการนั่งในท่าทางที่ไม่ถูกต้องหรือการใช้กล้ามเนื้อซ้ำๆ ในระยะยาว อาการของ Office Syndrome อาจส่งผลกระทบต่อความสะดวกสบายในการทำงาน และลดประสิทธิภาพในการทำงาน
ในบทความนี้ เราจะมาทำความเข้าใจเกี่ยวกับ อาการของ Office Syndrome และ วิธีการรักษา ที่ช่วยบรรเทาอาการเหล่านี้ และวิธีการป้องกันไม่ให้เกิดซ้ำในอนาคต
1. อาการของ Office Syndrome
อาการของ Office Syndrome สามารถแสดงออกได้ในหลายรูปแบบ ขึ้นอยู่กับการใช้งานร่างกายและท่าทางการนั่งที่ไม่ถูกต้อง นี่คือ อาการทั่วไป ที่คุณควรระวัง:
1.1 ปวดคอและบ่า
อาการปวดที่เกิดจากการนั่งในท่าที่ไม่ถูกต้อง หรือการยืดคอและไหล่เป็นเวลานาน
การใช้คอมพิวเตอร์ในท่าทางที่ไม่ดี ทำให้เกิดการเกร็งของกล้ามเนื้อบริเวณคอและไหล่
อาการปวดอาจรุนแรงขึ้นในบางกรณีและอาจส่งผลให้เคลื่อนไหวได้ยาก
1.2 ปวดหลัง
ปวดหลังจากการนั่งทำงานเป็นเวลานานหรือท่านั่งที่ไม่ถูกต้อง
อาจเกิดจากการก้มหลังหรือการนั่งที่ไม่รองรับกระดูกสันหลังอย่างถูกต้อง
อาการปวดหลังอาจเป็นอาการเรื้อรังหากไม่ได้รับการบำบัด
1.3 อาการปวดข้อมือและนิ้วมือ
อาการที่เกิดจากการพิมพ์หรือใช้เมาส์ติดต่อกันเป็นเวลานาน
อาจมีอาการชา หรือรู้สึกเจ็บปวดบริเวณข้อมือและนิ้วมือ
อาการนี้สามารถพัฒนาไปเป็น Carpal Tunnel Syndrome หากไม่ดูแล
1.4 ปวดตาและอาการเมื่อยล้าจากการจ้องจอคอมพิวเตอร์
การใช้คอมพิวเตอร์หรือสมาร์ทโฟนเป็นเวลานานอาจทำให้เกิดอาการ ตามัว, ปวดตา, หรือ ปวดศีรษะ
อาการเหล่านี้เรียกว่า Digital Eye Strain หรือ Computer Vision Syndrome
2. วิธีรักษา Office Syndrome ที่คุณควรรู้
2.1 ปรับท่าทางการนั่งให้ถูกต้อง
การนั่งในท่าทางที่ถูกต้องเป็นสิ่งสำคัญในการป้องกันและรักษาอาการของ Office Syndrome:
นั่งหลังตรง โดยกระดูกสันหลังต้องอยู่ในแนวตรง ไม่โน้มไปข้างหน้า
เท้าวางราบบนพื้น และเข่างอที่มุม 90 องศา
การปรับหน้าจอคอมพิวเตอร์ ให้อยู่ในระดับสายตาเพื่อลดการก้มคอ
ใช้เก้าอี้ที่มีการรองรับหลัง และ ที่รองแขน เพื่อให้การนั่งไม่เครียดเกินไป
2.2 การยืดเหยียดกล้ามเนื้อ
การยืดเหยียดกล้ามเนื้อทุก ๆ ชั่วโมงจะช่วยลดความตึงเครียดและคลายปวด:
ยืดคอ โดยการหมุนคอเบา ๆ ในทุกทิศทาง
ยืดกล้ามเนื้อข้อมือและนิ้วมือ โดยการยืดแขนไปข้างหน้าและใช้มืออีกข้างดึงข้อมือให้ตรง
ยืดหลัง ด้วยการยืนขึ้นและโค้งตัวไปข้างหลัง เพื่อให้กระดูกสันหลังขยายตัวและลดความเมื่อยล้า
2.3 การออกกำลังกาย
การออกกำลังกายที่ช่วยเสริมสร้างกล้ามเนื้อหลังและคอสามารถช่วยลดความเจ็บปวด:
การเดินเร็วหรือวิ่งเบา เป็นการออกกำลังกายที่ช่วยกระตุ้นการหมุนเวียนเลือด
โยคะ หรือ พิลาทิส ช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นของร่างกาย และช่วยให้กล้ามเนื้อหลังและคอแข็งแรง
การยกน้ำหนัก (Weight Training) สามารถเสริมความแข็งแรงให้กับกล้ามเนื้อหลังและข้อมือ
2.4 การใช้เทคนิคการนวด
การนวดสามารถช่วยผ่อนคลายกล้ามเนื้อที่ตึงและบรรเทาอาการปวด:
ใช้ การนวดน้ำมัน หรือ นวดกดจุด เพื่อลดความตึงเครียดของคอและหลัง
นวดคลายเส้น ที่คอและไหล่ช่วยบรรเทาอาการปวดได้ดี
2.5 การใช้เทคโนโลยีเพื่อช่วยแก้ไขท่าทาง
มีแอปพลิเคชันหลายตัวที่สามารถช่วยเตือนการนั่งในท่าทางที่ถูกต้อง:
ใช้ แอปพลิเคชันที่ช่วยเตือนให้ลุกขึ้นเดินทุก 30 นาที
ใช้ เครื่องมือหรือเก้าอี้ที่มีระบบปรับท่าทาง เช่น เก้าอี้ที่รองรับกระดูกสันหลัง
3. วิธีป้องกัน Office Syndrome ในอนาคต
3.1 การตั้งเวลาให้ตัวเองลุกขึ้น
ไม่ควรนั่งทำงานเป็นเวลานานโดยไม่ลุกขึ้น ทุก ๆ 30-60 นาที ควรลุกขึ้นเดินหรือยืดเหยียดเพื่อกระตุ้นการไหลเวียนเลือด
3.2 การใช้เครื่องมือที่เหมาะสม
ใช้ เก้าอี้สำนักงานที่มีการรองรับหลัง และ โต๊ะที่ปรับความสูงได้ เพื่อให้ท่าทางการนั่งถูกต้องมากที่สุด
3.3 การควบคุมความเครียด
การทำสมาธิหรือฝึกหายใจช่วยลดความเครียดจากการทำงานที่ยืดเยื้อ
3.4 การสังเกตอาการเบื้องต้น
หากมีอาการปวดหรือเมื่อยกล้ามเนื้อ ควรหยุดพักและตรวจสอบท่าทางหรือการใช้อุปกรณ์ทำงานทันที
4. สรุป
Office Syndrome เป็นปัญหาที่สามารถเกิดขึ้นจากการนั่งทำงานในท่าทางที่ไม่เหมาะสมเป็นเวลานาน แต่สามารถบรรเทาและป้องกันได้โดยการปรับท่าทางการนั่ง, การยืดเหยียดกล้ามเนื้อ, การออกกำลังกาย, การใช้เทคนิคการนวด, และการเลือกอุปกรณ์ที่เหมาะสม การดูแลตัวเองอย่างสม่ำเสมอและการปรับพฤติกรรมการทำงานจะช่วยลดความเสี่ยงในการเกิด Office Syndrome และทำให้การทำงานสะดวกสบายมากขึ้น