Categories
บทความ

5 กลุ่มเสี่ยงที่ต้องระวังฮีทสโตรคในหน้าร้อนนี้

5 กลุ่มเสี่ยงที่ต้องระวังฮีทสโตรคในหน้าร้อนนี้

ในช่วงฤดูร้อนของประเทศไทยที่อุณหภูมิพุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องทุกปี หนึ่งในภัยเงียบที่น่ากลัวและอาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้ก็คือ “โรคลมแดด” หรือ “ฮีทสโตรค” (Heat Stroke)

หลายคนมองว่าอาการจากแดดแรงเป็นเรื่องเล็ก แต่ในความจริง ฮีทสโตรคคือภาวะที่อุณหภูมิร่างกายพุ่งสูงจนระบบภายในทำงานผิดปกติ อาจหมดสติ หัวใจล้มเหลว และเสียชีวิตได้ภายในไม่กี่นาทีหากไม่ได้รับการช่วยเหลือทันเวลา

ในบทความนี้เราจะพาคุณมารู้จักกับ 5 กลุ่มเสี่ยงที่ต้องระวังฮีทสโตรคมากเป็นพิเศษ พร้อมวิธีป้องกันที่ควรรู้ไว้ เพื่อดูแลตัวเองและคนรอบข้างได้อย่างปลอดภัยในหน้าร้อนนี้


✅ 1. ผู้สูงอายุ

ผู้สูงอายุเป็นกลุ่มที่มีความเสี่ยง สูงที่สุด เพราะระบบควบคุมอุณหภูมิในร่างกายเริ่มเสื่อมลงตามอายุ ประกอบกับโรคประจำตัว เช่น เบาหวาน ความดัน หัวใจ ทำให้ร่างกายขาดความสามารถในการปรับสมดุลเมื่อต้องเผชิญกับอากาศร้อนจัด

สัญญาณเตือน:

  • เหงื่อออกน้อยผิดปกติ

  • หน้ามืด เดินโซเซ

  • สับสน พูดไม่รู้เรื่อง

คำแนะนำ:

  • หลีกเลี่ยงออกจากบ้านช่วงแดดจัด

  • เปิดพัดลมหรือแอร์ให้ห้องเย็นสบาย

  • ดื่มน้ำบ่อย ๆ แม้ไม่รู้สึกกระหายน้ำ


✅ 2. เด็กเล็กและทารก

ระบบระบายความร้อนของเด็กยังทำงานได้ไม่เต็มที่ อีกทั้งเด็กยังไม่สามารถสื่อสารหรือดูแลตัวเองได้ดี หากถูกปล่อยให้อยู่ในที่ร้อน เช่น ในรถที่ปิดสนิท, กลางสนาม, หรือกลางแดดนานเกินไป มีโอกาสเกิดฮีทสโตรคได้ง่ายมาก

สัญญาณเตือน:

  • ตัวร้อนจัด หน้าแดง ไม่เหงื่อ

  • ซึม ไม่กินนม/อาหาร

  • หายใจเร็ว หรือหมดสติ

คำแนะนำ:

  • อย่าปล่อยเด็กอยู่ในรถแม้เพียง “5 นาที”

  • ใส่เสื้อผ้าบาง เบา ระบายอากาศได้ดี

  • ให้น้ำหรือของเหลวตามวัยอย่างเพียงพอ


✅ 3. คนทำงานกลางแดด/กลางแจ้ง

กลุ่มนี้ได้แก่ คนทำงานก่อสร้าง, แม่ค้า, เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย, พนักงานขนส่ง ฯลฯ ที่ต้องอยู่ในพื้นที่กลางแจ้งนานหลายชั่วโมง

แม้ร่างกายจะดูแข็งแรง แต่เมื่อร่างกายสูญเสียน้ำและเกลือแร่ต่อเนื่อง ความสามารถในการระบายความร้อนจะลดลงอย่างรวดเร็ว

สัญญาณเตือน:

  • เหนื่อยง่าย เวียนหัว

  • ปวดศีรษะ คลื่นไส้

  • กล้ามเนื้ออ่อนแรง

คำแนะนำ:

  • หยุดพักทุก 30-60 นาที ในที่ร่ม

  • ดื่มน้ำผสมเกลือแร่หรือ ORS

  • สวมหมวก ป้องกันแสงแดดจัด


✅ 4. นักกีฬา/ผู้ที่ออกกำลังกายกลางแจ้ง

การออกกำลังกายขณะอุณหภูมิสูง เช่น วิ่ง ปั่นจักรยาน หรือเตะบอลในสนามกลางแดด ทำให้ร่างกายสร้างความร้อนมากกว่าปกติ หากไม่ได้พักและดื่มน้ำเพียงพอ อาจเกิด ภาวะลมแดดแบบเฉียบพลัน

สัญญาณเตือน:

  • หัวใจเต้นเร็วผิดปกติ

  • รู้สึกชา แขนขาอ่อนแรง

  • มองภาพเบลอ หรือสั่น

คำแนะนำ:

  • เปลี่ยนเวลาซ้อมมาเป็นช่วงเช้า/เย็น

  • ใส่เสื้อผ้าสีอ่อน ระบายอากาศได้ดี

  • พกน้ำดื่มติดตัวตลอดเวลา


✅ 5. ผู้ป่วยโรคเรื้อรัง และผู้ที่ใช้ยาบางชนิด

ผู้ป่วยที่มีโรคประจำตัว เช่น โรคไต, โรคหัวใจ, ความดันสูง หรือผู้ที่ใช้ยาขับปัสสาวะ, ยาลดไข้ ยาต้านซึมเศร้า บางชนิดอาจรบกวนการระบายความร้อนของร่างกายได้ ทำให้เสี่ยงต่อการเกิดฮีทสโตรคสูงขึ้น

สัญญาณเตือน:

  • อ่อนแรง ปวดศีรษะ

  • เหงื่อไม่ออก ตัวร้อนจัด

  • วิงเวียน คล้ายจะเป็นลม

คำแนะนำ:

  • ปรึกษาแพทย์เรื่องผลข้างเคียงของยา

  • หลีกเลี่ยงพื้นที่อากาศร้อน อบอ้าว

  • ตรวจสุขภาพประจำอย่างต่อเนื่อง


📌 สรุป: ป้องกันฮีทสโตรคได้อย่างไร?

โรคฮีทสโตรคสามารถป้องกันได้ง่าย หากเรารู้เท่าทันและหลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยง ด้วยการ:

  • ดื่มน้ำอย่างเพียงพอ

  • หลีกเลี่ยงการอยู่กลางแดดนานเกินไป

  • สวมเสื้อผ้าบาง เบา ระบายอากาศได้ดี

  • หยุดพักทันทีเมื่อรู้สึกผิดปกติ

  • อยู่ในที่อากาศถ่ายเทหรือติดเครื่องปรับอากาศเมื่อจำเป็น

เพราะเพียงไม่กี่นาทีที่คุณละเลย อาจเปลี่ยนจากอากาศร้อนธรรมดา…เป็นอันตรายถึงชีวิตได้
ติดต่อเรา : www.interwhc.com

Categories
บทความ

โรคฮีทสโตรค (Heat Stroke) : คืออะไร และทำไมมันถึงอันตราย?

โรคฮีทสโตรค (Heat Stroke): คืออะไร และทำไมมันถึงอันตราย?

โรคฮีทสโตรค หรือที่รู้จักกันในชื่อ โรคลมแดด เป็นภาวะที่ร่างกายมีอุณหภูมิสูงเกินไปและไม่สามารถควบคุมอุณหภูมิได้อีกต่อไป ซึ่งอาจเกิดจากการอยู่ในที่ที่มีอากาศร้อนจัด หรือการออกกำลังกายอย่างหนักในสภาพอากาศที่ร้อนมาก โรคฮีทสโตรคสามารถทำให้ร่างกายสูญเสียความสามารถในการควบคุมอุณหภูมิ ซึ่งทำให้เกิดอันตรายร้ายแรงหากไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที

ในบทความนี้เราจะมาอธิบายว่า โรคฮีทสโตรค คืออะไร และทำไมมันถึงเป็นอันตรายต่อสุขภาพ พร้อมทั้งวิธีการป้องกันและการดูแลเมื่อเกิดโรคฮีทสโตรค


โรคฮีทสโตรคคืออะไร?

โรคฮีทสโตรค คือ ภาวะที่ร่างกายมี อุณหภูมิสูงเกิน 40°C หรือสูงกว่าปกติเป็นเวลานาน ซึ่งทำให้ร่างกายไม่สามารถควบคุมอุณหภูมิได้อย่างเหมาะสม เนื่องจากระบบการระบายความร้อนของร่างกายไม่ทำงานเต็มที่ โดยส่วนใหญ่จะเกิดจากการอยู่ในสภาพอากาศร้อนจัดหรือการออกกำลังกายหนักในอากาศที่ร้อน

ภาวะนี้อาจเกิดขึ้นได้โดยไม่ต้องสัมผัสกับแสงแดดโดยตรง แต่ส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นเมื่อร่างกายทำงานหนักในที่ที่อากาศร้อนและชื้นจนเกินไป

ประเภทของฮีทสโตรค:

  • ฮีทสโตรคชนิดแห้ง (Classic Heat Stroke): มักเกิดในผู้สูงอายุหรือคนที่มีปัญหาสุขภาพอยู่แล้ว

  • ฮีทสโตรคชนิดเปียก (Exertional Heat Stroke): เกิดจากการออกกำลังกายหนักในสภาพอากาศร้อนจัด เช่น การวิ่งมาราธอนในช่วงฤดูร้อน


ทำไมโรคฮีทสโตรคถึงอันตราย?

โรคฮีทสโตรคอันตรายมากเพราะมันสามารถทำให้เกิด ภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรง และส่งผลต่อ อวัยวะภายใน ได้อย่างรวดเร็ว หากไม่รีบรักษาอาจทำให้เกิดภาวะอวัยวะล้มเหลว เช่น หัวใจวาย, ไตวาย, หรือสมองบาดเจ็บ เนื่องจากความร้อนที่เกินขีดจำกัดจะทำให้ระบบต่าง ๆ ในร่างกายทำงานผิดปกติ

อันตรายที่เกิดจากฮีทสโตรค:

  • ระบบประสาท: ร่างกายจะสูญเสียความสามารถในการควบคุมอุณหภูมิ ทำให้สมองได้รับความเสียหาย

  • หัวใจ: การทำงานหนักของระบบไหลเวียนเลือดและอุณหภูมิร่างกายสูงมากทำให้ หัวใจหยุดทำงาน หรือเกิด ภาวะหัวใจวาย

  • ไต: การที่ร่างกายร้อนจัดทำให้ ระบบไตทำงานหนัก, ซึ่งอาจนำไปสู่การเกิด ไตวายเฉียบพลัน

  • การเสียชีวิต: หากไม่ทำการรักษาอย่างทันท่วงที โรคฮีทสโตรคอาจทำให้ผู้ป่วยเสียชีวิตได้


สัญญาณเตือนของโรคฮีทสโตรค

โรคฮีทสโตรคจะมี อาการที่ค่อนข้างรุนแรง และสามารถแสดงออกมาอย่างรวดเร็ว ดังนั้นการสังเกตอาการล่วงหน้าจะช่วยให้การรักษาเป็นไปอย่างทันท่วงที

  • อุณหภูมิร่างกายสูงเกินไป (มากกว่า 40°C)

  • ผิวหนังแห้งและร้อน โดยไม่เหงื่อออก

  • ปวดศีรษะหรือเวียนศีรษะ

  • อ่อนแรง, คลื่นไส้ หรืออาเจียน

  • สับสนหรือหมดสติ

  • หายใจเร็วหรือหายใจลำบาก

  • การชัก หรือ อาการซึมเศร้า

คำแนะนำ:
หากพบอาการเหล่านี้ ควรรีบทำการปฐมพยาบาลและพาผู้ป่วยไปโรงพยาบาลทันที


วิธีการป้องกันโรคฮีทสโตรค

การป้องกันโรคฮีทสโตรคสามารถทำได้ง่าย ๆ ด้วยการระมัดระวังในช่วงอากาศร้อน:

1. ดื่มน้ำให้เพียงพอ

การดื่มน้ำเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการป้องกันฮีทสโตรค โดยการดื่มน้ำช่วยรักษาอุณหภูมิร่างกายให้คงที่

2. หลีกเลี่ยงการออกแดดแรง ๆ

หลีกเลี่ยงการอยู่ในที่ที่มีแดดจัดและควรหลีกเลี่ยงการออกกำลังกายหนักในช่วงเวลาแดดจัด

3. ใช้เสื้อผ้าที่ระบายอากาศได้ดี

เลือกสวมเสื้อผ้าที่ทำจากวัสดุธรรมชาติ เช่น ผ้าฝ้าย เพื่อให้ร่างกายระบายความร้อนได้ดี

4. พักในที่ร่มและมีอากาศถ่ายเท

หากคุณอยู่ในพื้นที่ร้อน ควรหาที่ร่มและพยายามอยู่ในสถานที่ที่มีอากาศถ่ายเท เช่น ในห้องที่มีเครื่องปรับอากาศ

5. หลีกเลี่ยงการออกกำลังกายในช่วงเวลาที่อากาศร้อนมาก

หากคุณต้องออกกำลังกายในช่วงฤดูร้อน ควรเลือกเวลาเช้าหรือเย็นที่อากาศไม่ร้อนจัด


📌 สรุป

โรคฮีทสโตรค เป็นภาวะที่อันตรายมากหากไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที สามารถเกิดขึ้นได้จากการอยู่ในที่ที่ร้อนจัดหรือการออกกำลังกายหนักในอากาศร้อน การสังเกตอาการและการป้องกันโรคฮีทสโตรคในช่วงที่อากาศร้อนจะช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคและรักษาความปลอดภัยให้กับตัวเอง

การป้องกัน ทำได้ง่าย ๆ โดยการดื่มน้ำให้เพียงพอ หลีกเลี่ยงการอยู่กลางแดดจัด และเลือกสวมใส่เสื้อผ้าที่ระบายอากาศได้ดี เพื่อลดความเสี่ยงจากโรคฮีทสโตรค

Categories
บทความ

การตรวจโรคก่อนทำงาน : ขั้นตอนและข้อควรระวังที่คุณต้องรู้

การตรวจโรคก่อนทำงาน : ขั้นตอนและข้อควรระวังที่คุณต้องรู้

การตรวจสุขภาพก่อนทำงานเป็นขั้นตอนสำคัญที่ช่วยให้ทั้งพนักงานและนายจ้างมั่นใจในสุขภาพของพนักงาน ซึ่งไม่เพียงแต่ช่วยป้องกันการแพร่กระจายของโรคต่างๆ แต่ยังช่วยลดความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากโรคที่ไม่สามารถมองเห็นได้ง่าย การตรวจสุขภาพก่อนทำงานไม่ใช่แค่การป้องกันโรค แต่ยังเป็นการส่งเสริมสภาพแวดล้อมการทำงานที่ดีและปลอดภัย สำหรับบทความนี้ เราจะพูดถึงขั้นตอนในการตรวจสุขภาพก่อนทำงานและข้อควรระวังที่คุณควรรู้


1. ทำไมการตรวจสุขภาพก่อนทำงานจึงสำคัญ?

การตรวจสุขภาพก่อนเริ่มงานเป็นการประเมินความพร้อมของพนักงานที่ต้องทำงานในสภาพแวดล้อมที่แตกต่างกัน เช่น งานในโรงงาน, สำนักงาน, หรือการทำงานในพื้นที่ที่เสี่ยงต่อการติดเชื้อ การตรวจโรคก่อนทำงานจึงช่วยในการคัดกรองโรคที่อาจส่งผลกระทบต่อการทำงาน รวมถึงการป้องกันไม่ให้พนักงานที่มีโรคประจำตัวไปทำงานในสภาพแวดล้อมที่อาจเสี่ยงทำให้สุขภาพของตนแย่ลง

ข้อดี:

  • ป้องกันการแพร่กระจายของโรค

  • ลดความเสี่ยงจากการทำงานในสภาพแวดล้อมที่ไม่เหมาะสม

  • ช่วยให้ผู้ประกอบการมั่นใจว่าพนักงานสามารถทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ


2. ขั้นตอนการตรวจสุขภาพก่อนทำงาน

การตรวจสุขภาพก่อนทำงานมีขั้นตอนที่ต้องดำเนินการอย่างละเอียดเพื่อให้ได้ข้อมูลที่ครบถ้วนและถูกต้อง โดยทั่วไปแล้วการตรวจสุขภาพจะประกอบไปด้วยหลายขั้นตอนดังนี้:

  • การสัมภาษณ์ประวัติสุขภาพ: ผู้ที่จะเข้าทำงานจะต้องให้ข้อมูลเกี่ยวกับประวัติสุขภาพของตน เช่น โรคประจำตัว, การใช้ยาปฏิชีวนะ, การรักษาโรคในอดีต ฯลฯ เพื่อให้ทีมแพทย์สามารถประเมินได้ว่ามีปัญหาสุขภาพอะไรที่อาจมีผลกระทบต่อการทำงาน

  • การตรวจร่างกายทั่วไป: การตรวจวัดความดันโลหิต, การวัดน้ำหนัก, การตรวจเลือด, การตรวจปัสสาวะ ฯลฯ เพื่อดูสภาพร่างกายทั่วไปของพนักงาน

  • การตรวจโรคที่เกี่ยวข้องกับงาน: สำหรับงานที่มีความเสี่ยงสูง เช่น การทำงานในโรงงาน, การทำงานกับสารเคมี, หรือการทำงานที่ต้องใช้แรงงานหนัก การตรวจโรคที่เกี่ยวข้อง เช่น โรคทางหายใจ, โรคเกี่ยวกับกระดูกและกล้ามเนื้อ, โรคทางการได้ยิน ฯลฯ จะช่วยประเมินความสามารถในการทำงาน

  • การตรวจเชื้อโรค: สำหรับการทำงานในบางอุตสาหกรรมที่มีความเสี่ยงสูงต่อการติดเชื้อ เช่น โรงพยาบาล, อุตสาหกรรมอาหาร ฯลฯ การตรวจหาการติดเชื้อหรือการประเมินความเสี่ยงทางสุขภาพจะเป็นส่วนสำคัญในการตรวจสุขภาพก่อนทำงาน


3. ข้อควรระวังในการตรวจสุขภาพก่อนทำงาน

การตรวจสุขภาพก่อนทำงานมีประโยชน์มากมาย แต่ก็มีข้อควรระวังที่ต้องใส่ใจ เพื่อให้การตรวจสุขภาพมีความแม่นยำและปลอดภัย:

  • การเปิดเผยข้อมูลอย่างตรงไปตรงมา: ผู้ที่เข้าทำงานควรเปิดเผยข้อมูลสุขภาพที่สำคัญทั้งหมด เช่น โรคประจำตัวที่อาจส่งผลต่อการทำงาน หรืออาการที่เกิดขึ้นบ่อย เพื่อให้การตรวจสุขภาพสามารถประเมินได้อย่างถูกต้อง

  • การเลือกสถานที่ตรวจสุขภาพที่ได้รับการรับรอง: การตรวจสุขภาพควรทำที่สถานพยาบาลที่มีมาตรฐานและได้รับการรับรองจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น โรงพยาบาลหรือคลินิกที่มีเครื่องมือและบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญ

  • การตรวจหลังจากมีอาการผิดปกติ: หากคุณมีอาการผิดปกติหรือมีโรคที่อาจส่งผลกระทบต่อการทำงาน ควรไปปรึกษาแพทย์และทำการตรวจร่างกายเพิ่มเติม ก่อนเข้าทำงานในลักษณะงานที่อาจมีความเสี่ยง

  • การติดตามผลการตรวจ: หลังจากการตรวจสุขภาพเสร็จสิ้น คุณควรได้รับผลการตรวจจากแพทย์และคำแนะนำในการดูแลสุขภาพ และหากพบปัญหาสุขภาพที่ต้องได้รับการรักษา ควรทำตามคำแนะนำเพื่อให้สามารถทำงานได้อย่างปลอดภัย


4. สิทธิของพนักงานในการตรวจสุขภาพก่อนทำงาน

ตามกฎหมายหลายประเทศ การตรวจสุขภาพก่อนทำงานถือเป็นสิทธิที่พนักงานควรได้รับ เพื่อให้มีความมั่นใจว่าไม่มีโรคที่ส่งผลกระทบต่อความสามารถในการทำงานหรือเป็นอันตรายต่อผู้อื่น นอกจากนี้การตรวจสุขภาพยังช่วยให้พนักงานได้รับการรักษาที่เหมาะสมหากพบปัญหาสุขภาพตั้งแต่เนิ่นๆ

ข้อดี:

  • ช่วยให้พนักงานได้รับการดูแลสุขภาพตั้งแต่แรก

  • ช่วยให้พนักงานสามารถป้องกันโรคหรืออาการที่อาจส่งผลกระทบต่อการทำงานได้เร็วขึ้น

  • เสริมสร้างความมั่นใจให้กับพนักงานในการทำงาน


5. สรุป

การตรวจสุขภาพก่อนทำงานเป็นขั้นตอนที่สำคัญทั้งสำหรับพนักงานและนายจ้าง เพื่อป้องกันปัญหาสุขภาพที่อาจส่งผลกระทบต่อการทำงาน การตรวจสุขภาพจะช่วยคัดกรองโรคที่อาจไม่สามารถเห็นได้ด้วยตาเปล่าและช่วยให้ทั้งพนักงานและองค์กรสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัย การเปิดเผยข้อมูลสุขภาพอย่างตรงไปตรงมาพร้อมกับการเลือกสถานที่ตรวจสุขภาพที่มีมาตรฐานจะช่วยให้การตรวจสุขภาพก่อนทำงานเป็นไปอย่างราบรื่นและมีประสิทธิภาพสูงสุด
ติดต่อเรา :  www.interwhc.com

Categories
บทความ

ก่อนการเข้าทำงานเตรียมตัวอย่างไร และเตรียมตัวตรวจสุขภาพด้านไหนบ้าง?

ก่อนการเข้าทำงานเตรียมตัวอย่างไร และเตรียมตัวตรวจสุขภาพด้านไหนบ้าง?

การตรวจสุขภาพก่อนเริ่มงานไม่เพียงแต่จะช่วยให้คุณมั่นใจในสุขภาพของตัวเอง แต่ยังช่วยให้บริษัทหรือองค์กรที่คุณจะเข้าทำงานสามารถมั่นใจได้ว่าคุณจะสามารถทำงานได้เต็มประสิทธิภาพและปลอดภัยจากโรคต่าง ๆ ที่อาจจะมีผลกระทบต่อการทำงาน โดยเฉพาะในบางตำแหน่งที่ต้องใช้ร่างกายหรือสุขภาพที่ดีในการทำงาน เช่น งานในโรงงาน อุตสาหกรรมอาหาร หรือในภาคการแพทย์

ในบทความนี้จะพาคุณไปทำความรู้จักกับ การเตรียมตัวก่อนเข้าทำงาน และ การตรวจสุขภาพที่สำคัญ ก่อนเริ่มงาน เพื่อให้คุณพร้อมและมีสุขภาพที่ดีในการเริ่มต้นอาชีพใหม่


✅ การเตรียมตัวก่อนการเข้าทำงาน

1. ทำความเข้าใจกับประเภทงานที่ทำ

ก่อนการเข้าทำงาน คุณควรทราบประเภทงานที่คุณจะทำ และต้องเตรียมตัวในด้านไหนบ้าง เช่น หากเป็นงานในโรงงานหรือสภาพแวดล้อมที่มีการเคลื่อนไหวตลอดเวลา การตรวจสุขภาพทางร่างกายและการทดสอบสมรรถภาพจะเป็นสิ่งที่จำเป็น ส่วนงานที่เกี่ยวข้องกับการใช้งานคอมพิวเตอร์เป็นเวลานานก็อาจต้องตรวจสุขภาพด้านตาและสุขภาพจิต

2. ตรวจสอบเอกสารการทำงาน

ตรวจสอบเอกสารที่เกี่ยวข้องกับการทำงาน เช่น ใบสมัครงาน สัญญาจ้าง และเอกสารทางการแพทย์ที่อาจจะต้องเตรียมให้กับสถานที่ทำงาน เช่น ประวัติการแพทย์ที่เคยรักษา รวมถึงการขอใบรับรองแพทย์ที่เกี่ยวข้อง


🩺 การตรวจสุขภาพที่สำคัญก่อนการเริ่มงาน

1. ตรวจสุขภาพทั่วไป

การตรวจสุขภาพทั่วไปจะเป็นการตรวจร่างกายเบื้องต้นเพื่อประเมินสุขภาพของคุณ โดยจะมีการตรวจต่าง ๆ เช่น

  • การตรวจน้ำหนัก ส่วนสูง ดัชนีมวลกาย (BMI)

  • การวัดความดันโลหิต

  • การตรวจการทำงานของหัวใจ

  • การตรวจเบาหวาน และระดับน้ำตาลในเลือด

  • การตรวจการทำงานของตับและไต


2. ตรวจเลือดเพื่อหาความผิดปกติ

การตรวจเลือดจะช่วยให้คุณรู้สถานะสุขภาพของตัวเอง เช่น

  • การตรวจไขมันในเลือด

  • การตรวจระดับคอเลสเตอรอล

  • การตรวจไวรัสตับอักเสบ B และ C

  • การตรวจธาตุเหล็กในเลือด


3. การตรวจสุขภาพทางสายตา

หากคุณทำงานที่ต้องใช้สายตามาก เช่น งานที่เกี่ยวกับการใช้คอมพิวเตอร์ งานในโรงงานที่ต้องมองเห็นรายละเอียด การตรวจสุขภาพตาจะเป็นการป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาสายตาในระยะยาว เช่น

  • การตรวจวัดสายตา

  • การตรวจสายตาในการใช้คอมพิวเตอร์

  • การตรวจวัดการรับแสงในที่มืด


4. ตรวจสุขภาพจิต

สำหรับบางงานที่มีความเครียดสูงหรือจำเป็นต้องทำงานภายใต้แรงกดดัน เช่น งานด้านบริการลูกค้า การตรวจสุขภาพจิตจึงสำคัญมาก เพราะจะช่วยให้คุณรู้ตัวว่าอาจจะมีปัญหาทางจิตใจที่ต้องการการดูแล

  • การตรวจสุขภาพจิต

  • การทดสอบภาวะเครียดและภาวะซึมเศร้า

  • การประเมินการทำงานร่วมกับผู้อื่น


🏥 บริการตรวจสุขภาพครบวงจรจาก บริษัท อินเทอเวลธ์ เฮลธ์แคร์ จำกัด

หากคุณต้องการ การตรวจสุขภาพก่อนเข้าทำงาน หรือ การตรวจสุขภาพประจำปี ที่มีมาตรฐานสูง พร้อมทีมแพทย์เฉพาะทางที่มีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญ
แนะนำให้ใช้บริการจาก 👉 บริษัท อินเทอเวลธ์ เฮลธ์แคร์ จำกัด
ที่มีบริการตรวจสุขภาพครบวงจร เช่น การตรวจหาความเสี่ยงโรคต่าง ๆ การตรวจสุขภาพประจำปี และบริการสุขภาพอื่น ๆ อีกมากมาย


✨ สรุปเนื้อหา

การเตรียมตัวก่อนเข้าทำงานโดยเฉพาะการตรวจสุขภาพเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้คุณพร้อมทำงานอย่างเต็มประสิทธิภาพ และลดความเสี่ยงในการเกิดโรคที่อาจส่งผลต่อการทำงานในอนาคต การตรวจสุขภาพทั่วไป การตรวจเลือด หรือการตรวจสุขภาพจิต สามารถช่วยให้คุณมั่นใจในสุขภาพของตัวเองก่อนเริ่มงานใหม่

หากคุณกำลังมองหาบริการ ตรวจสุขภาพครบวงจร จากผู้เชี่ยวชาญด้านการแพทย์
ขอแนะนำ บริษัท อินเทอเวลธ์ เฮลธ์แคร์ จำกัด ที่ให้บริการมาตรฐานระดับสากลและการดูแลสุขภาพที่ดีที่สุด